นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และอดีตผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุภายหลังเดินทางขึ้นศาลจังหวัดพัทยา คดีเสื้อแดง เมื่อปี 2552 ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ว่า วันนี้ตนไปที่ศาลจังหวัดพัทยา ทำหน้าที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับคุณจตุพร คุณวีระกานต์ นพ.เหวง และคุณอดิศร จำเลยที่ 2 - 5 ในคดีเกิดเหตุระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2552 การชุมนุมคราวนั้นพวกเราเป็นจำเลยในศาลอาญารัชดาแล้ว อยู่ในขั้นตอนการนัดสืบพยาน แต่เจ้าหน้าที่เอาพยานหลักฐานเดิมทั้งหมดมาฟ้องที่พัทยาอีกครั้ง จึงร้องต่อศาลว่าเป็นการฟ้องซ้ำหรือไม่ ซึ่งต้องรอคำวินิจฉัย
คดีที่พัทยามีผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวนอีกคน คือ 'สุภรณ์ อัตถาวงศ์' หรือ แรมโบ้อีสาน แต่วันนี้อัยการบอกว่านำตัวบุคคลดังกล่าวมาฟ้องไม่ทัน คดีจึงขาดอายุความ ด้วยความสัตย์จริงไม่ติดใจหากใครที่เคยต่อสู้กันมาจะหลุดพ้นคดี เพราะพี่น้องทั้งแกนนำและมวลชนเป็นกลุ่มคนที่ต้องคดีความ และถูกกระทำสารพัดรูปแบบหนักหนากว่ากลุ่มใดๆ แต่คำอธิบายว่าขาดอายุความ ช่วงกลางเดือน เม.ย.62 เพราะนำตัวมาฟ้องไม่ได้ในคดีนี้ เป็นเรื่องที่ยังเข้าใจยาก
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 6 คนเป็นผู้สมัคร ส.ส.ต่างพรรค ยกเว้นคุณจตุพร ซึ่งถูกตัดสิทธิ์แต่ก็เคลื่อนไหวในสนามเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง หลังการเลือกตั้งแต่ละคนยังปรากฏตัวในที่สาธารณะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่มีเพียงคนเดียวที่นำตัวมาฟ้องไม่ได้ ขณะที่ตน นายวีระกานต์ และ นพ.เหวง เป็นผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ นายอดิศร พรรคเพื่อไทย นายจตุพร เป็นกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ส่วนนายสุภรณ์ ย้ายจากพรรคเพื่อไทยไปเป็นผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ มีข้อแตกต่างกันทางคดีอย่างไรหรือไม่
"เคยมีกระแสข่าวว่าคนบางกลุ่มใช้ประเด็นช่วยเหลือเรื่องคดีความ ชักชวน ส.ส.ให้ย้ายไปอยู่พรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ ไม่ทราบว่าคดีที่ผมพูดถึงอยู่มีตื้นลึกหนาบางเกี่ยวข้องอย่างไรยิ่งเห็นกรณีคุณอุตตม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย แต่ไม่ถูกฟ้องดำเนินคดีเหมือนกรรมการคนอื่นๆก็ยิ่งไปกันใหญ่สังคมใดที่กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองผลประโยชน์ต่างๆได้ จะพูดถึงประชาธิปไตยและสันติสุขของประชาชนในมิติไหนย้ำอีกทีว่านายสุภรณ์พ้นคดีตนไม่อิจฉา ไม่คาใจเพียงแต่สังเวชใจกับคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย และปาฏิหารย์แห่งหลักนิติธรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น" ณัฐวุฒิ ระบุ