บลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงแถลงการณ์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (31 ต.ค.) โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า การจดทะเบียนบ้านและคอนโดมิเนียมประจำปีในชาวต่างชาติ อาจเพิ่มขึ้นถึง 1 แสนล้านบาท (ประมาณ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) เมื่อรัฐบาลไทยเริ่มผ่อนปรนกฎหมายตามข้อเสนอ ซึ่งมากกว่าการจดทะเบียนบ้านและคอนโดมิเนียมประจำปีในชาวต่างชาติที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19
บลูมเบิร์กชี้ว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย กำลังพยายามเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจากโควิด-19 ผ่านการดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกที่ร่ำรวยมากขึ้น โดยชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีการจำกัดการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพียงยูนิตในคอนโดมิเนียม จะสามารถซื้อที่ดินที่อยู่อาศัยได้ หากทำการลงทุนอย่างน้อย 40 ล้านบาทเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปีในประเทศไทย
ข้อเสนอที่คณะรัฐมนตรีรับรองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถูกส่งไปพิจารณาต่อยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อการประเมินเพิ่มเติมก่อนการอนุมัติ และประกาศใช้กฎหมายในขั้นสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ว่า การซื้อที่ดินไทยจากชาวต่างชาติ อาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินการ เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม แก่เป้าหมายผู้ซื้อชาวต่างชาติ เพื่อค้นหาโครงการใหม่และทำความเข้าใจตัวกฎหมายเพิ่มเติม
รายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ยังระบุอีกว่า ในช่วงเดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. การผ่อนคลายข้อจำกัดเรื่องการเข้าออกพรมแดนของไทย ส่งผลให้มีผู้ซื้อต่างชาติขึ้นทะเบียนครอบครองคอนโดมิเนียมประมาณ 2,326 ยูนิตกับกรมที่ดินไทย คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า โดยผู้ซื้อชาวจีนมียอดซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากที่สุด ตามมาด้วยผู้ซื้อจากรัสเซีย สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
ที่มา: