กระทรวงการต่างประเทศของจีนออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุมัติการขายอาวุธล็อตใหญ่ให้กับไต้หวัน เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 23,000 ล้านบาท ซึ่งอาวุธล็อตดังกล่าวรวมถึง ปืนใหญ่อัตตาจร หรือ พาหนะซึ่งขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองที่ติดตั้งปืนใหญ่ จำนวน 40 กระบอก โดยรัฐบาลปักกิ่งระบุว่า การกระทำของรัฐบาลวอชิงตันรอบนี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีนอย่างร้ายแรง
ตามรายงานของเพนตากอนระบุว่า นอกจากปืนใหญ่อัตตาจรจำนวน 40 กระบอกแล้ว ยังรวมถึง ชุดเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่ให้เป็นกระสุนนำวิถี 1,698 ตัว, อะไหล่สำหรับยุทโธปกรณ์หลากชิด สถานีภาคพื้น, อุปกรณ์อัพเกรทปืนใหญ่ฮาววิตเซอร์ที่ไต้หวันใช้ประจำการอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่มาตรฐาน ให้เป็นอาวุธอัจฉริยะมีระบบนำวิถีด้วยตัวเองเข้าหาเป้าหมายได้อีกเกือบ 1,700 ชุด โดยมีบริษัท BAE Systems Plc เป็นคู่สัญญาหลัก
"สิ่งนี้กำลังส่งสัญญาณผิดๆ ให้แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดนไต้หวัน และสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนสหรัฐฯ รวมทั้งเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันอย่างรุนแรง จีนของคัดค้านการขายอาวุธครั้งนี้อย่างเด็ดเดี่ยว และแสดงความไม่พอใจอย่างเป็นทางการถึงสหรัฐฯ ... จีนจะขอใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตามกฎหมายของตน" ตอนหนึ่งในแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจของรัฐบาลปักกิ่งพร้อมระบุว่าเตรียมออกมาตรการตอบโต้วอชิงตันอย่างเหมาะสม
ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การขายอาวุธล็อตนี้ จะช่วยทำให้กองปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์ของไต้หวันมีความทันสมัย เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการป้องกันตนเองให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในปัจจุบันและอนาคต
การขายอาวุธล็อตดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลไบเดนที่ขายอาวุธให้ไต้หวัน โดยย้อนกลับไปยุครัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เคยอนุมัติการขายอาวุธให้กับไต้หวันมูลค่าสูงถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 55,800 ล้านบาท ซึ่งการซื้อขายในครั้งนั้นนำมาสู่มาตรการที่รัฐบาลจีนออกคำสั่งคว่ำบาตรบริษัทเอกชนและบุคลากรรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลวอชิงตันที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายดังกล่าว
การซื้อขายอาวุธล็อตล่าสุดนี้ มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ที่กำลังเริิ่มร้อนระอุ จากการที่บรรดาชาติตะวันตกเริ่มเคลื่อนไหวส่งเรือรบเข้ามาประจำการในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงทะเลจีนใต้ ซึ่งมีข้อพิพาทระหว่างจีนกับหลายชาติ ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเริ่มเดินกลยุทธ์กระชับความสัมพันธ์ด้านยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก กับชาติในเอเชียหลายประเทศ