โภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่าในฐานะที่เป็นผู้ยกร่างกฎหมายตั้งแต่ขั้นกรรมาธิการศึกษารัฐธรรมนูญ ที่ได้นำเสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความว่าหากจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้องมีการทำประชามติถามประชาชนเสียก่อน และแม้มีควาพยายามผลักดันจากภาคประชาชนให้ทำประชามติ รวมถึงการแก้ไขรายมาตรา เพื่อเลิกการสืบทอดอำนาจ
แต่ปรากฎว่าเพื่อไม่ให้มีส.ส.พึงมี กลับเลือกแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในประเด็นระบบเลือกตั้ง และใช้ระบบการเลือกตั้งแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 ที่แบ่งการเลือกตั้งส.ส.เป็น 2 ประเภท คือระบบแบ่งเขต กับบัญชีรายชื่อ เพื่อให้ประชาชนเลือกตัวแทนในพื้นที่ กับเลือกพรรคการเมืองอย่างละใบ ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้รับที่นั่งหรือมีส.ส.มากกว่าคะแนนเสียงที่ได้รับอย่างมาก ทำให้พรรคขนาดกลางขนาดเล็กเสียเปรียบและไม่เป็นธรรม
ดังนั้นจึงเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ควรจะมาต่อสู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มอำนาจให้ประชาชนมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยขณะนี้ตนได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับ ส.ส.ร.ขึ้นมาในนามพรรคไทยสร้างไทย โดยไม่ใช่เป็นการจัดทำฉบับใหม่ จึงอยากให้พรรคการเมืองให้ความสนใจ มากกว่าการมุ่งไปที่การแก้ไขระบบการเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคของตัวเองได้เปรียบการเลือกตั้งเป็นหลัก
"รัฐธรรมนูญทุกฉบับ ได้กำหนดไว้ว่าอำนาจเป็นของประชาชน แม้ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารยังถือว่าอำนาจของประชาชน แต่ที่ผ่านมาอำนาจของประชาชนได้ถูกบิดเบือนมาโดยตลอด โดยเงิน อำนาจนิยม และอิทธิพล ที่นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำและความทุกข์ยากของประชาชน ทำให้คนตัวเล็กมีความเสี่ยงตั้งแต่เกิดจนแก่ ดังนั้นพรรคไทยสร้างไทย จึงมีนโยบายดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ เพื่อเสริมสร้างอำนาจให้กับประชาชน (Empower) และปลดปล่อยประชาชน (Liberate) จาก "รัฐราชการ" และแนวคิด "อำนาจนิยม" เพื่อให้ประชาชนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีหลักประกันคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรคควรต้องดำเนินการ เพื่อพี่น้องประชาชน"
โภคิน กล่าวเพิ่มเติมว่าจากนี้แนวทางกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการมีส.ส.พึงมีหรือไม่ ซึ่งสามารถออกได้ 2 แนวทางคือไม่ขัดรัฐธรรมนูญสามารถใช้สูตรหาร 100 ได้ หรือขัดรัฐธรรมนูญต้องกลับไปใช้สูตรหาร 500 ซึ่งต้องกลับไปทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งใหม่ และต้องดูว่าสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นทันหรือไม่ แต่หากไม่ทันมีการยุบสภาก่อน คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะต้องไปออกหลักเกณฑ์ในการพิจารณาระบบเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สะท้อนว่าไม่ได้ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เป็นความได้เปรียบเสียเปรียบของพรรคการเมืองทั้งสิ้น
"พรรคไทยสร้างไทย มีความพร้อมทุกกติกาการเลือกตั้ง แต่ถ้าพี่น้องคนไทยอยากจะปฏิวิติเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้ทุกคนลุกขึ้นมาในวันเลือกตั้ง เพื่อจับปากกาแสดงเจตนารมณ์กาบัตรเลือกตั้งทั้งแบบเขต และบัญชีรายชื่อให้กับพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งเป็นพรรคของประชาชน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งอย่างเด็ดขาด เพื่อส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานของเรา" โภคินกล่าว