แม้ 'ทอตนัมฮอตสเปอร์ส' จะเตรียมตัวอย่างเต็มที่มากว่า 3 สัปดาห์ สำหรับเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร วิเคราะห์ทุกรายละเอียดการเล่นของลิเวอร์พูล และคำนวนทุกความเป็นไปได้ แต่ สิ่งที่ 'เมาริซิโอ โปเชตติโน' ไม่ได้คาดการณ์ไว้คือความฝันในการเป็นแชมป์ยุโรปจะจบลงภายในเสี้ยววินาทีหลังเริ่มเกม
ความพ่ายแพ้ถูกยัดเยียดให้กับสเปอร์ส ตั้งแต่วินาทีที่ 28 ของเกม เมื่อ 'ซาดิโอ มาเน่' เปิดบอลไปโดนแขน 'มุสซ่า ซิสโซโก้' ในเขตโทษ และ 'ดาเมียร์ สโคมิน่า' ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ โดยมี 'โมฮาเหม็ด ซาลาห์' ทำหน้าที่ยิงจุดโทษ ส่งผลให้ลิเวอร์พูล ออกนำ 1-0
นอกจากจะเป็นการช่วงชิงการคุมเกม อาจเรียกได้ว่านี่ป็นการทวงคืนช่วงเวลาแห่งความอัปยศของนักแตะชาวอียิปต์ ที่ได้รับบาดเจ็บและต้องออกจากการแข่งขันกับเรอัล มาดริด ทั้งน้ำตา ในรอบชิงชนะเลิศปีที่แล้ว
"เอาจริงๆนะ ผมไม่รู้จะพูดอะไรแต่ผมดีใจมากที่ได้เล่นรอบชิง 2 รอบติดกัน และอยู่ครบ 90 นาที" ซาลาห์ กล่าว
เสปอร์ส กับ 140 ปี แห่งการรอคอย
สเปอร์ส รู้ดีว่าต้องเล่นให้ดีกว่าเดิมในครึ่งหลังเพื่อจะดึงเกมกลับมาและการตามเพียง 1 ประตู คงไม่ทำให้การรอคอยกว่า 140 ปี ต้องสูญเปล่าไป
ช่วงนาทีที่ 78 สเปอร์สลุยหนักแล้วขึ้นมาได้ลุ้นประตู จากจังหวะที่ 'คีแรน ทริปเปียร์' หลุดขึ้นมาทางขวาก่อนเปิดให้ 'เดเล่ อัลลี่' โหม่ง แต่ข้ามคานออกไป
และนาทีต่อมา สเปอร์ส ก็เกือบได้ประตูตีเสมออีกครั้งจาก 'ซน ฮึง-มิน' ซัดด้วยขวาจากระยะ 25 หลา จน 'อลีสซอน เบ็คเกอร์' นายทวารลิเวอร์พูลต้องทุบบอลทิ้งออกไป 'ลูคัส มูร่า' จึงได้เตะซ้ำในเขตโทษอีกครั้งแต่อลีสซอนก็ยังป้องกันประตูไว้ได้
เสียงกองเชียร์สเปอร์สที่ดังกระหึ่มในช่วงเวลาแห่งการบุกของทีมมาดับลงในนาทีที่ 87 เมื่อ "หงส์แดง" มาได้ลูกเตะมุมจาก 'เจมส์ มิลเนอร์' เปิดเข้าไปในเขตโทษ โดยมี 'โฌแอล มาติป' ไหลให้ 'ดิว็อค โอริกี้' ซัดด้วยซ้าย เป็นประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ 2-0
'โอริกี้' แห่งลิเวอร์พูล
หากจะพูดถึงเกมที่มหัศจรรย์ เกมรอบชิงชนะเลิศก็ยังเทียบไม่ได้กับรอบรองชนะเลิศ ที่ลิเวอร์พูล เล่นแบบโกงตายเอาชนะ บาร์เซโลนา มาได้ โดยในเกมนั้น โอริกี้ ยิงถึง 2 จาก ทั้งหมด 4 ประตู
'ดิว็อค โอริกี้' กลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครคาดคิดในหนทางสู่การเป็นแชมป์สมัยที่ 6 ของลิเวอร์พูล โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เขาแทบจะกลายเป็นนักแตะที่ถูกลืม แต่ 'เยอร์เก้น คล็อปป์' ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เหมือนจะมีวิธีเรียกความโดดเด่นของ โอริกี้ ออกมาได้เสมอ ในเวลาที่ทีมต้องการมากที่สุด
'คล็อปป์' ถอนคำสาปได้สำเร็จ
การพ่ายแพ้เป็นเรื่องน่าเจ็บใจ แต่การต้องพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศถึง 6 ครั้ง เป็นแผลเป็นในใจของ 'เยอร์เก้น คล็อปป์' ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันลิเวอร์พูล คล็อปป์ ต้องการปลดปล่อยตัวเองออกจากฝันร้ายครั้งนี้ และลิเวอร์พูลก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ผู้จัดการชาวเยอรมัน พาทีมคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ส่งผลให้ลิเวอร์พูลมีถ้วยรวมมากกว่า บาร์เซโลนา และบาเยิร์น มิวนิค และตาม เอซี มิลาน เพียง 1 ถ้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นเรื่องอีกยาวไกลที่หงส์แดงจะทำลายสถิติเจ้าของถ้วยยุโรป 13 สมัย อย่าง เรอัล มาดริด
คล็อปป์ กล่าวว่า เขาพาครอบครัวมาดูการแข่งขันถึง 6 ครั้ง ในช่วงวันหยุด และกลับไปพร้อมกับเหรียญเงินซึ่งมันรู้สึกไม่ดีเอาสะเลย เพราะฉะนั้นการชนะครั้งนี้ ก็เพื่อครอบครัวด้วยเช่นกัน คล็อปป์เสริมว่า เขาชอบที่จะมองนักแตะมีความสุขกับถ้วยรางวัล พร้อมกลับไปฉลองกันที่เมืองลิเวอร์พูล
"ผมมีเหรียญเงินเยอะและ ตอนนี้มีเหรียญทองสักที" คล็อปป์ กล่าว
เสียงชื่นชมผู้ชนะ
นักวิเคราะห์จากบีอิน สปอร์ตส์ กล่าวว่า "ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่พิเศษ เป็นคลับระดับโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นคู่แข่งของลิเวอร์พูลหรือไม่ คุณต้องเคารพความจริงที่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ มีแฟนบอลนับล้านๆคน และตอนนี้ นักแตะทั้งหมด เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน กลายเป็นตำนวนของลิเวอร์พูลไปแล้ว หลังจากคว้าแชมป์ยุโรป ผมดีใจกับเยอร์เก้น คล็อปป์นะ แม้จะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เขาเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม และผู้คนเอาแต่พูดว่าเขาเอาแต่แพ้รอบชิง แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้ว"
ด้าน 'อาร์แซน แวงเกอร์' อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล กล่าวว่า เราอยู่ในสังคมที่ หากคุณไม่ใช่ผู้ชนะจะไม่มีใครจดจำคุณ และนั่นก็เป็นธรรมเนียมที่โหดร้ายของฟุตบอลเช่นเดียวกัน พร้อมให้กำลังใจสเปอร์สว่า ผู้แพ้มักโทษว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดี แม้ความเป็นจริงพวกเขาจะทำได้ดีที่สุดแล้วก็ตาม
"ผู้จัดการทีมทั้งสองคนทำได้ดี สิ่งที่โหดร้ายในฟุตบอลคือ จะมีทีมหนึ่งที่ดีกระโดดดีใจจนถึงหลังคาขณะที่อีกทีมร้องไห้เสมอ" แวงเกอร์ กล่าว
ปิดท้ายที่ 'โชเซ มูรีนโย' อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กล่าวชื่มชนการเล่นของลิเวอร์พูล และชี้หงส์แดงเหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์ พร้อมชื่มชมแฟนหงส์ที่มีสปิริตการเชียร์ทีมที่พิเศษ
"แอนฟิลด์เป็นส่วนสำคัญของเกมนี้ วันนี้ไม่ได้อยู่ในแอนฟิลด์แต่รอบน็อคเอาท์อยู่ และพวกเขาพาแอนฟิลด์มาที่นี่ด้วย" มูรีนโย กล่าว
เมื่อกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ผู้เล่นในม้านั่งฝั่งลิเวอร์พูลต่างพากันวิ่งลงมาในสนาม 'เฟอร์กิล ฟาน ไดค์' ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศรีษะ ราวกับไม่เชื่อในความสำเร็จของทีม ขณะที่ 'เจมส์ มิลเนอร์' ยกมือขึ้นเป็นเลข 6 ให้กับแฟนๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มใบด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่คล็อปป์เข้ามาคุมทีมเมื่อ 4 ฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูลมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่เคยมีถ้วยรางวัลติดมือเลย และค่ำคืนที่ผ่านมา ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันก็พกถ้วยยุโรปสมัยที่ 6 กลับไปเมืองลิเวอร์พุลได้สำเร็จ ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้ายุโรป และพวกเขาจะไม่หยุดเร็วๆนี้อย่างแน่นอน