กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยว่า จากกรณีที่กองทัพเมียนมาทำรัฐประหาร ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อรักษาซึ่งความมั่นคงของรัฐ พร้อมแต่งตั้งพล.อ มินต์ ส่วย เข้ารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีแทน โดยอ้างการเข้าควบคุมอำนาจว่าเนื่องจากรัฐบาลพลเรือนล้มเหลวในการตรวจสอบทุจริตการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือน พ.ย. 2563 ภาคเอกชนไทยค่อยข้างมีความกัวลอย่างมาก เนื่องจากประเมินว่าจะทำให้เศรษฐกิจของเมียนมาหยุดชะงักลงทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากปัจุบันมีบริษัทของไทย ทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวนมากเข้าไปลงทุนในเมียนมา อีกทั้งเมียนมายังนับเป็นคู่ค้าของที่สำคัญของไทย โดยมีมูลค่าการค้ามากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ภาคเอกชนไทย ยังมีความกังวลในประเด็นนโยบายที่จะมีการประกาศออกมาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งหากมีการยกเลิกการลงนามความร่วมมือ (MOU) ด้านต่างๆ กับนานาประเทศ โดยเฉพาะกับจีน ญี่ปุ่น และไทย ทั้งในประเด็นการการค้า และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ จะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ ต้องติดตามสถานกาณ์ใกล้ชิด
ส่วนประเด็นเรื่องความกังวลที่มีต่อสถานกาณ์แรงงานซึ่งอาจลักลอบเข้าประเทศไทยแบบผิดฎหมายเพิ่มมากขึ้น และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานกาณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวน่าจะยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากยังเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเมียนมา แต่หากมีการถอนการลงทุนในเมียนเป็นจำนวนมากก็มีโอกาสที่แรงงานจะทะลักเข้าไทยได้เช่นกัน