ไม่พบผลการค้นหา
เชน ธนา ลิมปยารยะ อดีตนักร้องที่ผันตัวทำธุรกิจออนไลน์จนประสบความสำเร็จมูลค่าหลัก 100 ล้าน เล่าประสบการณ์กว่าจะมีวันนี้ โดนดูถูกทำธุรกิจเจ๊ง ติดหนี้ มองแนวคิดทำธุรกิจต้องเปลี่ยนแปลง แก้สถานการณ์ให้ไว เพราะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงและพร้อมจะพังตลอดเวลา

ภาพนักร้องบอยแบนด์หน้าใส คือภาพอดีตของ เชน ธนา ลิมปยารยะ บอยแบนด์ชื่อดัง วงไนซ์ทูมีทยู แต่ปัจจุบัน เขาคือนักธุรกิจร้อยล้าน ผู้สร้างตลาดออนไลน์ในวงการอาหารเสริม จุดพลิกผันชีวิตจากนักร้องสู่นักธุรกิจ เริ่มจากสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว จนวันที่เป็นนักร้องและได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า จึงนำเงินค่าตัวก้อนแรก เปิดธุรกิจร้านกิ๊ฟช็อปในวัย 19 ปี ที่สยาม สร้างกำไรเดือนละหลายหมื่น สามารถส่งเสียตัวเองเรียน แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง มีการปิดถนน ธุรกิจแรกในชีวิตก็พังลง ก่อนที่เขาจะรวบรวมเงินมาสร้างธุรกิจใหม่ ร้านเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ ที่สร้างความสำเร็จทางธุรกิจ กำไรต่อเดือน หลักล้าน แต่แล้ว เคราะซ้ำธุรกิจก็ไปไม่รอดจากภาวะทางการเมืองเช่นเคย การปิดถนนราชประสงค์ และเป็นหนี้ก้อนแรก 5 ล้านบาท ในวัย 20 ปี

“คือชีวิตหนักมาก อายุ 20-19 มีหนี้ 5 ล้าน เรารู้สึกว่า ไม่น่าจะใช้ไหวด้วยลำพังตอนนั้นเป็นนักร้องด้วย เราคิดว่าเป็นวง คือเป็นวงมีงานทุกวันก็จริง แต่หารออกมาเหลือเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท แล้วต้องซื้อเสื้อผ้า ไหนจะต้องทำหน้าทำผม แต่งหน้า ก็ไม่พอใช้ จนท้ายที่สุดก็เหมือนยุติตัวเอง” 


จุดเปลี่ยนชีวิตเบื้องหน้า มุ่งสู่ธุรกิจออนไลน์

เชน ธนา เล่าถึงความคิดที่เขาเปลี่ยนจากคนเบื้องหน้า สู่นักธุรกิจเต็มตัว ว่า “หลายคนอาจจะเข้าใจว่า นักร้องเงินดี คือถ้าร้องออกเดี่ยวอาจจะดี แต่พอเป็นวงมันทั้งแบ่งให้ค่ายด้วยให้ผู้จัดการส่วนตัวด้วย แบ่งค่าเครื่องเสียงด้วย คนคุมเสียง แบ่งไปแบ่งมามันเหลืองานละ 7,000 บาท คือต่อให้เราร้องแล้วพอเป็นวง ทุกคนไม่ได้ว่างเหมือนกัน อาทิตย์หนึ่งมันว่าง 2 วัน สรุปเดือนหนึ่งมันเก็บได้แค่ 5 งาน พอมัน 5 งาน ก็สุดเลยเหลือ 3 หมื่นกว่าบาท จ่ายภาษีเหลือ 2 หมื่นกว่า  จังหวะที่เราวงแตก มันเลยเป็นไฟต์บังคับให้เรารู้สึกว่าต้องออกเดี่ยว

พอเราออกเดี่ยวเฮียยอมให้ออก อันนั้นยอมรับว่าเงินดีจริง ก็ได้เดือนละ 2-3 แสน เราอยู่ได้แล้วเราก็มีเงินมาใช้หนี้ครับ 5 ล้านนี้มันมาพร้อมๆ กัน คือมีทั้งเงินจากนักร้อง มีทั้งจากเงินเดือนที่เราทำงานประจำด้วย แล้วท้ายที่สุดผมก็เป็น SME เล็กๆ ก็คือขายตุ๊กตา ขายแบตสำรองผ่านออนไลน์ ซึ่งหลังจากที่ประมวลตัวเองมา ประมาณเกือบ 5 ปี ที่เราไม่กล้าเปิดธุรกิจอีกเลย สุดท้ายเรามาเริ่มธุรกิจออนไลน์คนแรกๆ ของประเทศ เหมือนจุดเปลี่ยนชีวิต เพราะว่าเราลงทุนเงินก้อนแรกประมาณ 4 หมื่นบาท เราใช้เวลา 2 ปี เปลี่ยน 4 หมื่นให้เป็น 5 ล้านบาท โดยการไปนำเข้าของมาขาย สั่งกล่องไปรษณีย์คนแรกๆ ที่แบบเอากล่องมาตั้งๆ ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันจบภายใน 3-5 ปี ในเรื่องของการใช้หนี้

มันมีอยู่คืนหนึ่งคือเราร้องเพลง แล้วเราก็ขายตุ๊กตา ขายแบตสำรองไปด้วย แล้วเราปล่อยโปรโมชั่น เราลองปล่อยโปรโมชั่นสมัยนั้น ถ้าเป็นยุคนี้ 5 เดือน 5  11 เดือน 11 ตอนนั้น เราก็ลองปล่อยโปรสิ้นปี พอเงินมันเข้ามายังไม่ทันขึ้นเวทีเลย มือถือมันสั่น ติ้ง ติ้ง ติ้ง ติ้ง อย่างนี้ ท้ายที่สุดคือยังไม่ทันขึ้นเวทีเลย แต่รายได้ที่เราได้จากตรงนั้น มันเยอะกว่าค่าตัวเรา ก็เลยทำให้เรามั่นใจในเรื่อง แพลตฟอร์มออนไลน์ จุดที่เปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นอาหารเสริม เราก็ไม่ได้ทำตามกระแสนะ คือเราดูเทรนด์ว่าโลกเราเทรนด์มันยังไง ตอนที่เราขายแบตสำรองเทรนด์คือแกดเจ็ต เพราะว่าเพิ่งมีไอแพด เพิ่งมีแบล็กเบอร์รี่ แล้วคนแบตไม่พอ พอจุดที่เป็นนวัตกรรมอาหารเสริม มันก็มีจุดเปลี่ยนคือ คนไม่ต้องไปคลินิกสามารถทานจากภายในได้ หรือทาครีมอยู่บ้าน ใช้มาส์กอยู่บ้านได้ ไม่ต้องไปเลเซอร์ เราก็เลยเห็นโอกาส แล้วก็จากประสบการณ์ที่เราทำคลินิกมา 5 ปี เราเลยเก็บทุกอย่าง แล้วก็ก้าวออกมา"

เชน ธนา

ปี 2557 เปิดตัวธุรกิจ amado บุกเบิกตลาดออนไลน์

การเข้ามาลุยตลาดอาหารเสริม ผ่านช่องทางการขายแบบออนไลน์ เชน ธนา ยอมรับว่า ไม่ง่าย และความไร้เดียงสาในโลกธุรกิจ ทำให้มีคนเกลียดแบรนด์เขามากมาย เพราะได้เข้ามาปรับราคาตลาดอาหารเสริมถูกลง จากที่ในตลาดขาย 3-4 พัน ในต้นทุนผลิตภัณฑ์เพียงแค่ 3-4 ร้อย เขามองว่ามันไม่ยุติธรรมกับคนซื้อ และปรับราคาเหลือหลักร้อย ทุกสถานะทางการเงินจับต้องได้ เน้นเรื่องราคาไม่แพง เน้นคุณภาพผลิตภัณฑ์ แต่ประสบการณ์ธุรกิจที่น้อย ทำให้ขายดี แต่ขาดทุน

“คือเราก็เริ่มแบบเจ็กๆ งูๆ ปลาๆ เหมือนกันนะ ปี 57 เราเริ่มเราก็ไม่มีตังค์เหลือเหมือนกัน ขายดีแต่ไม่มีเงินเหลือ เพราะอย่างที่บอกว่า เราโลกสวยเกิน เราเข้ามาเราไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ขายดีมาก ลงการตลาด ส่งของเพิ่มสุดท้ายยิ่งขาย เงินยิ่งหาย พอเราล้มมันก็ไม่ใช่ว่ามันต้องเจ๊งเสมอไป เราก็มีการเพิ่มทุนเข้ามาได้ ตอนนั้นปี 58 ก็เลยเพิ่มทุนเข้าไป พอเพิ่มทุนเข้าไปก็ประสบความสำเร็จ ปี 58 ขายได้ น่าจะเฉียดร้อยล้าน ทีนี้พอมันโตขึ้นเรื่อยๆ ปี 59 ก็หลายร้อยล้าน พอมันหลายร้อยล้าน เราเริ่มแย่อีกครั้งหนึ่ง เหมือนเดิม ขายดีจนเจ๊ง ก็คือ พอสินค้าเยอะ ผลิตไม่ทัน เงินหมด มันก็เป็นปัญหาที่เราแบบท้าทายมาเรื่อยๆ ครับ" 


มรสุมถาโถม ปี 61 คดีเมจิกสกิน ทำลายวงการอาหารเสริม บริษัทโดนโจมตี

เบื้องหลังความสำเร็จในฉากหน้า ต้องมาโดนมรสุมทางธุรกิจถาโถม เชน บอกว่าหนักที่สุดในชีวิตกับกรณีเมจิกสกิน คดีดังกล่าวทำลายภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในตลาด อีกทั้ง มีเพจข่าวออกมากล่าวหา ว่าผลิตภัณฑ์ของเขาเข้าข่ายหลอกลวง

“ณ วันนั้นเราก็พยายามต่อสู้แบบทันควัน เรียลไทม์ คือ โดนถามตอน 5 โมงเย็นของวันนั้น 2 ทุ่มเราเรียกทีมงานมาออฟฟิศแล้วไลฟ์เลย แล้วโชว์เอกสารทั้งหมดว่า ใครพาดพิงเรา เราฟ้องกลับหมดนะเพราะว่าเราไม่ได้ทำผิด แต่คุณมาถามมูลค่าบริษัทเราเสียหายเลย แผนการตลาดทั้งหมดล้มหมด มันเหมือนโลกอินเทอร์เน็ต คนก็คิดว่าเราทำผิด ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิด เราก็สู้มานะ จนสุดท้ายเราเกือบไปล้มประมาณเดือน 9 ยืด ยื้อ ยื้อชีวิตอยู่ 4 เดือน ท้ายที่สุดเป็นหนี้ 60 กว่าล้าน ผู้ถือหุ้นเริ่มโทษเรา กรรมการเริ่มโทษเรา ว่าเราบริหารไม่ดี เราประมาท”

จากประสบการณ์ กรณีเมจิกสกิน ทำให้เขาเครียดจนเกือบคิดสั้น แต่ด้วยนึกถึงครอบครัว ภรรยา และลูก จึงทำให้ผ่านมาได้

“จากประสบการณ์ที่ผ่านเมจิกสกินมา เอาจริงๆ เราก็อยากตายมาเหมือนกัน เราก็มองว่าประกันชีวิตก็ไม่น่าแลกกับเรานะ มาประกันชีวิตเราตั้งเป็น 100 ล้าน แต่ว่าท้ายที่สุด มันเหมือนเป็นการทดสอบชีวิต วันหนึ่งเราตอบได้ว่า ชีวิตเรามันมีค่ามากกว่าตึก 30 ล้าน หรือชีวิตเรามันมีค่ามากกว่าบ้าน 100 ล้าน ผมว่ารอบนี้มันแบกชีวิตคนเยอะกว่าเดิม คือตอนที่เราเป็นนักร้องเราแบบชีวิตตัวเราเอง อย่างมากก็เป็นความคาดหวังของพ่อแม่หรือแฟนสมัยนั้น แต่ตอนนี้มีครอบครัว มีภรรยา และมีพนักงาน 60-80 ชีวิต แล้วเขาก็มีครอบครัวมีลูกต้องเลี้ยง มันก็เลยทำให้ความรับผิดชอบต่างกัน แล้วความกลัวความท้อมันน้อยลง”

เชน ธนา

ปรับตัวทันสถานการณ์ รับโควิด-19 

บทเรียนในโลกธุรกิจ ทำให้เขามองเห็นว่า เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และพร้อมจะพังตลอดเวลา ดังนั้น พิษโควิด-19 ทำให้ธุรกิจของเขากระทบไม่มากนัก

"amado ยังอยู่ได้ อาจเป็นเพราะว่าโชคดีด้วยที่เราทำสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพอย่างหนึ่ง แล้วก็แพลตฟอร์มของเรา เราอยู่ในออนไลน์มาอยู่แล้ว คือรายได้หลักจาก amado ตลอด 6 ปีที่ผ่านมามันเกิดจากอีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว แล้วทุกคนสั่งโดยที่ไม่ต้องมีหน้าร้านอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นโชคดีของเราที่เราเริ่มต้น พอเราเริ่มก่อน พอมันโดนการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เราเลยอยู่ได้ คือผมจะเป็นบรรทัดฐานของบริษัทไทยทุกบริษัทก็ไม่ได้ เพราะว่าบริษัทเราจริงๆ มันคือ ขายผลิตภัณฑ์ มันคือบริษัทที่ขายเก่ง เป็นช่องทางที่แข็งแรง คือวันนี้เราเชื่อมั่นว่าช่องทางจำหน่ายเราแข็งแรง เราสามารถควบคุมตลาดได้ ด้วยราคากลาง"  

"เราไม่ได้โชคดีตลอดชีวิต คือผมก็แย่มาเหมือนกัน ผมว่าสำคัญที่สุด คือกำลังใจ ทั้งจากคนรอบข้างแล้วก็ตัวเอง มันไปบอกไม่ได้หรอก สู้นะ คนมันจะแย่ มาบอก สู้ มันก็แค่ สอ เสือ สระอู ไม้โท มันก็ไม่มีอะไร มันต้องเริ่มจากตัวเองนี่แหละ มองพ่อแม่ไว้ มองภรรยา มองลูก มองสามีไว้ เราเองก็ไม่รู้อนาคตตัวเอง อีกหลายๆ เดือน ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ หรือว่าประเทศไทยยังไม่ฟื้น เราก็อาจจะกระทบก็ได้ ถ้าวันหนึ่งลูกค้าหรือว่าคนไทย รายได้หายเขาก็อาจจะไม่มีเงินมาอุดหนุนเราก็ได้ ผมก็คิดว่าวันนี้มันเป็นเรื่องกำลังใจมากกว่า วันนี้มาถามว่าเราจะอยู่รอดยังไง เราก็ไม่กล้าตอบนะ เราอยากให้คนไทยรอดมากกว่า

เชน ธนา