“ผมไม่คิดว่าจำนวนเด็กจะน้อยลงขนาดนี้”
ฉิม ฮอน หมิง ครูใหญ่ของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งทางตะวันตกของฮ่องกง บอกกับสำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์
นานก่อนปีการศึกษาจะเริ่มต้น ครูใหญ่รู้ดีว่าจำนวนนักเรียนในปีนี้จะน้อยลงแน่นอน เพราะนอกจากอัตราการเกิดที่ลดลงแล้ว ครอบครัวชาวฮ่องกงต่างรู้สึกอึดอัดกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เข้มงวดของรัฐบาล รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมือง จนคนฮ่องกงจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเดินทางออกจากแผ่นดินเกิดเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศอื่นที่มีเสรีภาพมากกว่า
แม้จะพอเดาได้ แต่ครูใหญ่ฉิมก็ยังนึกไม่ถึงว่าเด็กๆ จะหายไปมากขนาดนี้ เฉพาะจำนวนเด็กนักเรียนในระดับชั้นป.1 ลดลงเกิน 100 คน คิดเป็น 10% จากเทอมก่อน
ปีที่แล้ว ประชากรในฮ่องกงลดลง 1.2% มากที่สุดในช่วงเวลา 60 ปี นับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มเก็บบันทึกในปี 1960
ตั้งแต่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา เพียงแค่ปีเดียวมีประชาชนมากกว่า 89,000 คน ตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกง และตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ตลอดสองปีที่ผ่าน ฮ่องกงได้รับผลกระทบจากทั้งการระบาดของโควิด-19 และการปราบปรามทางการเมืองครั้งใหญ่ของรัฐบาลจีน ผลกระทบที่เห็นได้ชัดทันทีมีทั้งร้านค้าและธุรกิจที่ปิดกิจการ นักการเมืองและนักกิจกรรมโดนจับ นักท่องเที่ยวหายไป สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์นำเสนอว่า อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสังคมฮ่องกงตอนนี้ คือการที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งได้ตัดสินใจแล้วว่า ฮ่องกงไม่ใช่ที่ที่พวกเขาต้องการเลี้ยงดูลูกๆ อีกต่อไป
“พวกเขาต้องการให้ลูกมีเสรีภาพในการแสดงออก”
จอห์น ฮู ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐาน กล่าวถึงความต้องการของพ่อแม่ชาวฮ่องกงที่เป็นลูกค้าของเขา ฮูบอกว่า ธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นหลังจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง โดย 70% เป็นครอบครัวที่มีเด็ก ส่วนใหญ่ย้ายไปต่างประเทศเพราะไม่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ฮ่องกง
“จงรักประเทศจีน และห้ามมีคำถาม” การศึกษาที่ส่งเสริมความรักชาติแบบจีนแผ่นดินใหญ่
นับตั้งแต่รัฐบาลจีนพยายามควบคุมฮ่องกงมากขึ้น หลักสูตรการศึกษาในฮ่องกงก็ถูกปรับเปลี่ยน นักเรียนชั้นประถมศึกษาในฮ่องกงถูกกำหนดว่า ควรอ่านหนังสือภาพเกี่ยวกับประเพณีจีน และเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ที่มีชื่อเสียง เช่น พระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง หรือกำแพงเมืองจีน
นักเรียนชาวฮ่องกงถือธงชาติจีนในงานเฉลิมฉลองวันการศึกษาแห่งชาติ ต.ค.2564
สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์วิเคราะห์ว่า เป้าหมายหลักของแนวทางหลักสูตรใหม่ที่รัฐบาลฮ่องกงประกาศเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นกลไกการควบคุมฮ่องกงของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยใช้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในบทเรียน ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนในฮ่องกงมีความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสร้างความภักดีต่อผู้นำอย่างไม่เปลี่ยนแปลง นับเป็นกลยุทธ์อันแข็งแกร่งของรัฐบาลจีน
ในแนวปฏิบัติสำหรับครูระบุว่า นักเรียนควรพัฒนา “ความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ ความรักต่อชาวจีน อัตลักษณ์ของชาติ ตลอดจนความตระหนักและสำนึกในความรับผิดชอบในการปกป้องความมั่นคงของชาติ” เด็กอนุบาลในฮ่องกงถูกกำหนดให้เรียนรู้เรื่องความผิดตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของจีน ครูที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลที่ต่อต้านรัฐบาลจีนอาจถูกไล่ออก
เมื่อเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลและการควบคุมของจีนแผ่นดินใหญ่ในฮ่องกงในปี 2019 เจ้าหน้าที่ฮ่องกงที่สนับสนุนรัฐบาลจีนกล่าวโทษระบบการศึกษาที่ส่งเสริมค่านิยมแบบเสรี และ “ทำให้คนฮ่องกงหัวรุนแรง”
ควบคู่ไปกับการปราบปรามคนที่เห็นต่างทางการเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ผ่านมารัฐบาลฮ่องกงได้เปิดตัวแคมเปญมากมายเพื่อปลูกฝังคนรุ่นใหม่ โดยใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังการเชื่อฟังและความรักชาติ เพื่อส่งเสริมวาทกรรมที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหนืออดีตอาณานิคมของอังกฤษ
ภาพถ่ายจากโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในฮ่องกงจัดงานพิธีเฉลิมฉลองวันการศึกษาแห่งชาติ ต.ค.2564
หลังจากที่ แอน ชี ผู้ช่วยสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง รับทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงใหม่ในการเรียนการสอนจากการประชุมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยครูใหญ่อธิบายว่า วิชาต่างๆ ในอนาคตจะต้องมีบทเรียนที่เกี่ยวกับความรักต่อจีนอย่างไร
หลังจากการประชุมครั้งนั้น ครูชี นึกภาพลูกชายอายุ 8 และ 11 ขวบของเธอ ต้องผ่านกระบวนการที่เธอเรียกว่า “การล้างสมอง” ครูผู้ซึ่งเริ่มไม่แยแสกับบรรยากาศทางการเมืองในฮ่องกง จึงตัดสินใจดำเนินการขั้นแรกเพื่อทำการอพยพออกจากประเทศ เธอและสามีรีบยื่นขอวีซ่าพิเศษที่ประเทศอังกฤษเสนอให้กับชาวฮ่องกงหลังจากจีนเริ่มใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
“ถ้าฉันไม่มีลูก ฉันอาจจะไม่เห็นความเร่งด่วน แต่ระบบการศึกษาที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลหลักที่ฉันต้องไป”
ในเดือนสิงหาคม ทั้งชีและครอบครัวบินออกจากฮ่องกง
การอพยพส่งผลกระทบต่อฮ่องกง
การอพยพของชาวฮ่องกงตั้งแต่การควบคุมของจีนเข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้ฮ่องกงเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแพทย์ โดยที่ผ่านมามีแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ 4.9% และพยาบาล 6.7% ลาออก และหลายคนย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
คนที่ตัดสินใจออกจากฮ่องกงถอนเงินไปแล้ว 270 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9 พันล้านบาท) จากแผนเกษียณอายุของเมืองระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในรอบเจ็ดปี
เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้แสดงความกังวลต่อการอพยพของประชากรจำนวนมากที่เกิดขึ้น โดยบอกว่า ฮ่องกงเป็นเมืองนานาชาติอยู่แล้วจึงมีประชากรอยู่ชั่วคราวเสมอ แต่ทางภาครัฐก็ยอมรับว่าโรงเรียนในฮ่องกงได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์นี้
การอพยพครั้งใหญ่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ฮ่องกง เช่น การอพยพในปี 1997 เมื่ออังกฤษคืนอำนาจการควบคุมดินแดนให้จีน แต่ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งนั้น
จอห์น ฮู ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานกล่าวว่า ในอดีตผู้อพยพเหล่าจำนวนมากเป็นพลเมืองที่มีฐานะร่ำรวย การมีพาสปอร์ตของต่างประเทศเป็นเหมือน “หลักประกัน” ต่อการปกครองของคอมมิวนิสต์ ในขณะที่พวกเขายังคงเดินทางกลับมาฮ่องกงบ่อยครั้ง และหลายคนกลับมาอยู่ถาวรที่ฮ่องกงในภายหลัง
แต่การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าการออกเดินทางในปัจจุบันอาจจะเป็นการจากฮ่องกงไปแบบถาวร
ที่มา:
https://www.nytimes.com/2021/10/11/world/asia/hong-kong-population-drop.html
https://www.nytimes.com/2021/02/24/world/asia/hong-kong-national-security-law-education.html