นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดและกล่าวปาฐกถาในงาน AMCHAM Member Luncheon ที่จัดโดยหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศไทย (AMCHAM) โดยมีนางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย(AMCHAM) นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และสมาชิก AMCHAM เข้าร่วมกว่า 250 คน ณ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ (9 ธันวาคม 2567)
นายพิชัย กล่าวว่า เป้าหมายและแผนงานของตนในฐานะ รมว.พาณิชย์ คือทำให้ ศก.ไทยกลับมาเติบโตรวดเร็วที่สุด ดังนั้น รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะส่งเสริมทั้งด้านการค้าและการลงทุนกับนักธุรกิจจากต่างประเทศโดยเฉพาะกับหอการค้าอเมริกัน ก่อนหน้านี้ตนได้เดินทางไปประชุมเอเปคที่เปรู พบว่า ประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา รวมทั้งเปรู มี GDP และรายได้ต่อหัวที่สูงกว่าประเทศไทย ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% ต่อปี ไทยต้องเร่งเดินหน้าการเติบโตเศรษฐกิจ และ ดึงดูดการลงทุนให้มากขึ้น ตั้งแต่รัฐบาลท่านนายกแพทองธาร เข้ามา ภาพรวมเศรษฐกิจการค้าของไทยในปี 2567 ดีมากขึ้นและมีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เซมิคอนดักเตอร์ PCB และ Data centers เป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ก็ยังเกินดุลนั้น เป็นผลจากการส่งออกของบริษัทสหรัฐฯในประเทศไทยกลับไปยังสหรัฐฯ เช่น Western Digital, Seagate, HP หลังจากนี้ตนมีแผนจะเดินทางไปยังสหรัฐฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเจรจากับผู้แทนหน่วยงานภาครัฐไม่ให้มีการขึ้นภาษีกับสินค้าส่งออกจากไทย โดยไทยอาจเสนอให้ลดภาษีเนื้อวัวจากสหรัฐฯ หรือนำเข้าข้าวโพดมากขึ้น แทนการขึ้นภาษี และขอให้สมาชิก AMCHAM หรือสมาชิกของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยและภาคเอกชนของสหรัฐฯ ช่วยเป็นกระบอกเสียงว่าไทยจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ กับไทยมากขึ้น
ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบหลายประการในการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุน ขณะนี้ไทยมี FTA กับประเทศต่างๆ รวม 15 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และล่าสุดคือเราไทยสามารถผลักดัน FTA ไทย-เอฟตา ที่ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ(สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) ให้ประสบความสำเร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมลงนามในช่วงการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่ดาวอส ในเดือน มกราคม 2568 ซึ่งนายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของท่านนายกฯ ในการเร่งเปิดประตูทางการค้า หลังจากนี้ไทยจะเร่งผลักดัน FTA ฉบับอื่นๆ ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว ทั้ง ไทย-อียู ไทย-UAE ไทย-เกาหลีใต้ และ ASEAN-แคนาดา อันจะช่วยให้นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยมีแต้มต่อทางการค้า ซึ่งไทยพร้อมอำนวยความสะดวกนักธุรกิจที่ต้องการมาลงทุนในไทย และหากผู้ประกอบการคนใดพบปัญหาสามารถส่งเรื่องมาที่กระทรวงพาณิชย์ติดต่อประสานงานหรือแก้ไขปัญหาให้ได้
รมว.พาณิชย์ ยังได้เล่าถึงนโยบายในการดูแลผู้ประกอบการกลุ่ม SME ตั้งใจจะสร้าง Thailand Brand by ตามด้วยชื่อสินค้าหรือบริษัท เพื่อการันตีสินค้าไทยที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม จะช่วยให้ผู้บริโภคจากทั่วโลกไว้ใจได้ว่าเป็นสินค้าคุณภาพดีจากฝีมือของคนไทย นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญของ SMEs คือการไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ตามคำสั่งซื้อที่มีปริมาณมาก กระทรวงพาณิชย์ก็จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการ SMEs ในแหล่งต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดส่งสินค้าได้ตามคำสั่งซื้อ
ในช่วงท้ายได้เปิดโอกาสให้นักธุรกิจของสมาชิกหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศไทย สามารถถามคำถามนายพิชัยได้พบว่า มีผู้สนใจถามคำถามนายพิชัยจำนวนมาก ทั้งในประเด็นการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ ปัญหาการขาดแคลนแรงมากในภาคอุตสาหกรรม การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อน (OCA) ไทย-กัมพูชา ในฐานะแหล่งขุมทรัพย์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น