ไม่พบผลการค้นหา
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจฝ่ายค้าน เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นโอกาสแก้มือใหม่ ถ้าทำได้ดี การยอมรับจาก ปชช.จะกลับมา

วันที่ 14 ก.พ. จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน และการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมว่า ถึงแม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลกำลังพยายามทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่น่าสนใจด้วยการยกตนข่มท่าน คุยโวว่ามีข้อมูลของฝ่ายค้านบ้าง เตรียมชี้แจงได้หมดแล้วบ้าง หรือแม้กระทั่งบอกล่วงหน้าว่ารัฐมนตรีบางคนจะไม่ถูกอภิปรายหรืออย่างมากก็คงถูกอภิปรายแบบเบามาก แต่ประชาชนทั่วไปกำลังติดตามการอภิปรายครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อเนื่องจากกำลังประสบความลำบากเดือดร้อนอย่างหนักกันทั่วไปหมด จึงอาจจะหวังว่าการอภิปรายครั้งนี้จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะความล้มเหลวในการบริหารประเทศจะถูกนำมาตีแผ่ อย่างน้อยก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากฝ่ายค้านมีข้อมูลที่แน่นจริงและอภิปรายได้ดี โดยเฉพาะหากมีเรื่องทุจริต เอื้อประโยชน์พวกพ้องของรัฐบาลมาอภิปรายด้วย ความไม่พอใจอาจจะยิ่งสูงขึ้น

“ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลนี้ แต่ยังรู้สึกว่าไม่รู้จะเปลี่ยนได้อย่างไร เพราะรัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาได้อย่างมั่นคง พรรคร่วมก็ไม่คิดถอนตัว แถมพลเอกประยุทธ์ยังมี ส.ว.อีก 250 คนคอยอุ้มเอาไว้ แต่ถ้าการอภิปรายทำได้ดีจริง ความรู้สึกต่อรัฐบาลก็อาจจะเปลี่ยนไป รัฐบาลพลเอกประยุทธ์อาจตกที่นั่งลำบากได้” นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลอาจชี้แจงไม่ได้ก็คือความล้มเหลวในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการที่รัฐบาลทำให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจเกินจำเป็นไปมากและมีแนวโน้มจะเสียหายมากขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูของเศรษฐกิจ มีการวางแผนในการฉีดวัคซีนผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนน้อยที่สุด ช้าที่สุด มีปัญหาการผูกขาด การเอื้อประโยชน์เพียงบางบริษัท ปิดกั้นการซื้อขายของภาคเอกชน ในขณะที่การดำเนินการของภาครัฐล่าช้า ไม่ครอบคลุมและดำเนินการไปอย่างไม่โปร่งใส นายกฯ และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบชี้แจงอย่างคลุมเครือ ไม่มีความน่าเชื่อถือ การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดนี้กำลังทำให้ประชาชนต้องอยู่กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อยาวนานออกไปและประเทศเสียโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้ศักยภาพและได้ประโยชน์จากเปิดประเทศโดยเร็วจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

“ผมอยากจะฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่าอีกปัญหาหนึ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่คือความขัดแย้งแตกต่างทางความคิด ซึ่งนับวันจะมากขึ้น รอวันปะทุขึ้นมา ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้แสดงความพร้อมที่จะรับฟังหรือเปิดโอกาสในมีการพูดจาหารือกัน แต่กลับใช้การคุกคามและปราบผู้ที่เห็นต่างด้วยการใช้กฎหมายที่เกินกว่าเหตุและใช้กำลังความรุนแรง การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้ความขัดแย้งในสังคมไทยบานปลายออกไป ประเทศไทยถูกมองว่าจำกัดสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่นักลงทุนจากต่างประเทศก็มองว่าประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง สิ่งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำลังใช้ปฏิบัติต่อผู้ที่มีความเห็นต่างอาจไม่เป็นที่รับรู้ในข่าวกระแสหลัก แต่ก็เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ซึ่งยิ่งทำให้สังคมไทยมีความรับรู้ที่ต่างกัน และการที่รัฐบาลปล่อยให้มีการปลุกกระแสสร้างความเกลียดชังรวมทั้งปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่สังคมไทยจะเผชิญกับความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความล้มเหลวของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคงเป็นประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งในการอภิปรายครั้งนี้”

นายจาตุรนต์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในส่วนของฝ่ายค้าน ผมคิดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่คนจำนวนมากจับตาดูว่าฝ่ายค้านจะเอาจริงหรือไม่และทำได้ดีแค่ไหน ต้องยอมรับว่าฝ่ายค้านบางส่วนมีปัญหามาจากการอภิปรายครั้งก่อน คราวนี้จึงเป็นโอกาสที่จะแก้มือใหม่ ถ้าหากทำได้ดีจริง ๆ การยอมรับก็จะกลับมา แต่หากการอภิปรายครั้งนี้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น หรือต่ำกว่าความคาดหวังของประชาชน ฝ่ายค้านเองก็อาจตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ซึ่งผมขอเอาใจช่วยและหวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น”