วันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล เข้าฟังคำพิพากษาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า หมิ่นประมาท พิธีกรจัดรายการช่องดังจากการปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนในการชุมนุม #ม็อบมีนา64 ของกลุ่มรีเด็ม
รักชนก เปิดเผยหลังฟังคําพิพากษาว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะเป็นการติชมโดยสุจริต ส่วนคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องคนละ 10 ล้านบาท ศาลพิพากษาว่าเมื่อไม่มีมูลในคดีอาญา จึงไม่ต้องจ่ายในคดีแพ่งด้วย ส่วนตัวมองว่าคดีนี้เป็นเหมือนการฟ้องปิดปาก (Slapp) ครั้งนั้นเราพูดในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ยังไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้สื่อทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
หากสื่อไม่นำเสนอข่าวอย่างไม่ตรงไปตรงมาทำตัวสร้างความชอบธรรมให้รัฐ ให้รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน ยกตัวอย่างเหตุการณ์ปี 2553 และ 2563 ถ้าสื่อใช้ความชอบธรรมให้ตำรวจใช้ความรุ่นแรงกับประชาชนได้ ประชาชนก็ไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้ว ยืนยันว่าเราวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต และอยากให้ใช้คำพิพากษาในคดีนี้ เป็นบรรทัดฐานให้คดีอื่นที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์สื่อ ขอให้กำลังใจให้สื่อนํ้าดี ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาขอให้ทุกคนเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงาน
ขอให้ในอนาคตเรามีสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมีเสรีภาพสื่อและแรงงานในภาคสื่อมวลชนต้องได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น มีกฎหมายคุ้มครองรองรับ โดยหลังจากนี้จะไปวางแผนร่วมกับ เพชร กรุณพล และ ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สามารถนำเอาคำพิพากษาคดีนี้ไปต่อยอดให้เป็นแนวทางคดีอื่น หรือนำไปเป็นวัตถุดิบ ว่าจะนำเอาไปทำอะไรได้บ้าง
"ตั้งแต่เป็น สส.ตั้งใจจะไม่ฟ้องกลับประชาชนหรือสื่อ เพราะไม่อยากใช้วิธีการปิดปาก เราไม่อยากเข้ามามีอำนาจแล้วเป็นคนแบบที่เราเกลียด"
รักชนก กล่าวว่าตอนนี้รู้สึกโล่งอก การมีคดีฟ้องปิดปากเป็นเหมือน แมลงหวี่สร้างความรบกวน ทำให้เราต้องออกจากภาระงานมาฟังคำพิพากษา ดีแล้วจะได้ไม่ต้องมาศาลบ่อย ๆ ตอนนี้เหลือแค่คดี ม.112 ที่อยู่ระหว่างชั้นอุทธรณ์ หวังว่าวันหนึ่งคู่กรณีจะเห็นว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อระบอบประชาธิปไตย ในอนาคตเราหวังว่าใครที่รับใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง จะกลับมาคิดให้และทำงานตามจริยธรรมสื่อ หวังว่าจะมีวันนั้นแม้จะห่างไกล