ไม่พบผลการค้นหา
"ชวลิต" จี้ กก. วัตถุอันตราย แบน 3 สารพิษ เร่งรัฐบาลตั้งห้องแล็บตรวจผัก-ผลไม้จากจีนที่ด่านเชียงของด่วน

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ว่า หลังจาก กมธ.ไปศึกษา ดูงานที่ด่านเชียงของ จ.เชียงราย ทราบว่าไทยนำเข้าผัก ผลไม้จากจีนมีมูลค่าปีละกว่า 2,500 ล้านบาท แต่ไทยไม่มีห้องแล็บที่ด่านเชียงของ ที่จะสุ่มตรวจผัก ผลไม้ จากจีนแต่อย่างใด น่าเป็นห่วงผู้บริโภคอาจได้รับสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนและคณะ กมธ.จึงเดินทางมาศึกษา ดูงานที่ตลาดไท ซึ่งเป็นปลายทางของสินค้าผัก ผลไม้ จากจีนแห่งหนึ่ง เพื่อดูสภาพสินค้า ผัก ผลไม้ ว่ามาจากจีนจริงหรือไม่ และมาจากในประเทศ มากน้อย แค่ไหน ทราบข้อมูลว่า เฉพาะผักที่ส่งมายังตลาดแห่งนี้ มีทั้งไทยและจีน วันละไม่ต่ำกว่า 4,000 ตัน โดยมีข้อเสนอจากผู้บริหารตลาดไทว่า ตลาดได้สร้างห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผัก ผลไม้ มากว่า10 ปีแล้ว แต่สุ่มตรวจได้ วันละประมาณ 100 ตัวอย่าง เสียค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 500,000 บาท อยากจะให้ทางราชการสนับสนุนชุดตรวจเพราะเป็นวัสดุสิ้นเปลืองในชั้นนี้

"กมธ.มีความเห็นว่าเพื่อความปลอดภัย และความมั่นใจของผู้บริโภค ทางราชการควรมีการจัดตั้งห้องแล็บที่ด่านเชียงของสำหรับสุ่มตรวจผัก ผลไม้ จากจีนโดยด่วนที่สุด สำหรับปลายทางได้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีประสานกับผู้บริหารตลาดไทในรายละเอียดต่อไปนั่นเป็นมาตรการตรวจสอบผัก ผลไม้ จากต่างประเทศ" นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวว่า ส่วนในประเทศ กมธ.เห็นว่ามาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้า คือ การแบน 3 สารพิษอันตรายร้ายแรง ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีกำหนดการประชุมพิจารณาในเรื่องนี้ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2562

จึงขอเรียนคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่า ถ้าไม่เชื่อข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะทาง เป็นอาจารย์หมอ เป็นนักวิชาการ เป็นนักวิจัย แล้วจะเชื่อใคร 

ดังนั้น ต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรักษาชีวิตประชาชน มากกว่าประโยชน์ด้านอื่น ปัญหานี้ยืดเยื้อมายาวนาน ซึ่งผมคิดว่าปัญหาได้สุกงอมแล้ว เพราะประชาชนตื่นตัวอย่างยิ่งกับการรักษาคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะเด็กเกิดใหม่ที่จะเตืบโตมาเป็นอนาคตของชาติ ควรได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ประการสำคัญที่ กมธ.ต้องทำความเข้าใจกับสารธารณชนก็คือกมธ.มีแนวทางที่เห็นร่วมกันที่จะเสนอรัฐบาลให้จัดทำโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ กมธ.จะไม่เสนอแนวทางแบบหนีเสือ ปะจรเข้ อย่างเด็ดขาด จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร หรือกลุ่มผลประโยชน์ด้านสารเคมี กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กล่าวคือ ไม่สนับสนุนให้ใช้สารเคมีตัวใดมาทดแทน โดย กมธ.หวังที่จะเห็นการเกษตรบ้านเรากลับมาให้ความสำคัญกับการรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์คุณภาพชีวิตประชาชน ต่ออายุประชาชน ไม่ให้ตายผ่อนส่งจากสารเคมีที่สะสมในร่างกายอีกต่อไป

ดังนั้น ช่วงบ่ายวันนี้ กมธ.จึงจะเดินทางไปศึกษา ดูงาน โครงการเกษตรรวมใจ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครนายก, โครงการสวนสายศร อ.วิหารแดง จ.สระบุรี และโครงการศูนย์เรียนรู้กสิกรรมไร้สารพิษละโว้ธานี จ.ลพบุรี เพื่อดูตัวอย่างสถานที่ที่ประสบความสำเร็จในการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อ ปชส.เป็นทางเลือกแก่ประชาชน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :