ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี ประกาศจุดยืน "ไม่โอเค อัยการไม่สั่งฟ้องคดีบอส อยู่วิทยา" ชี้ต้องทำให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส ขอสื่อวางตัวเป็นกลาง มีจรรยาบรรณ นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานปาฐกถาพิเศษ ในงาน Bangkok Post Forum พลิกฟื้นประเทศไทย ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมีเอกอัครราชฑูตและตัวแทนเอกอัครราชฑูตประจำประเทศไทย 16 ประเทศและภาคเอกชน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง 

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดยระบุว่า สื่อมวลชนถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่มีความจำเป็นต่อประเทศ เพราะการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นธรรม จะมีส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจในการดำรงชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน อีกทั้งการสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวาง การให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สร้างสรรค์ สะท้อนความต้องการของประชาชน จะช่วยสร้างความเข้าใจ บรรเทาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 24 ส.ค. 2557 เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากเรามีปัญหาเรื่องความขัดแย้งและไม่มีเสถียรภาพ 

พล.อ.ประยุทธ์ ยังยอมรับว่า วิกฤตในครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤตที่ไทยเคยประสบมาในอดีต อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และสถานการณ์ในต่างประเทศก็ยังคงมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเราจะประมาทไม่ได้ จึงต้องให้ทุกคนร่วมมือกัน ซึ่งทราบดีว่ารัฐจะออกมาตรการอะไรออกมาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และต้องหาวิธีในการสร้างความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ลดความขัดแย้งในหลายประเด็นที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพ เกิดความเชื่อมั่น จึงถือว่าเป็นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย 

โดยวันนี้ (6 ส.ค.) รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และกันไว้ 45,000 ล้านบาท สำหรับด้านสาธารณสุข ถ้าไม่มีระลอก 2 ก็จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้หาเครื่องมือให้กับศูนย์สุขภาพ และโรงพยาบาลประจำตำบล และโรงพยาบาลต่างๆ รวมถึงความพร้อมวัคซีน ส่วนเงินที่ใช้จ่ายชดเชยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 5.5 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เยอะ แต่ใช้ 3 เดือนก็หมด และได้มีการใช้จ่ายให้ประชาชนไปแล้ว ทั้งที่ตกงาน และกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นส่วนที่เหลือ 400,000 ล้านบาท ที่เป็นงบโครงการฟื้นฟูก็จะต้องใช้อย่างระมัดระวัง 

"อันที่สองคือแผนงานโครงการที่ใช้ชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 550,000 ล้านบาท ดูตัวเลขแล้วเยอะ แต่ใช้ 3 เดือนหมด แล้วก็จ่ายไปแล้วด้วย นั่นคือช่วงที่เราดูแล 3 เดือนเท่านั้นเอง 550,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นตอนนี้อยู่ในแผนงานโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท อันนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ดังนั้น ขอความร่วมมือสื่อมวลชนทำความเข้าใจ รวมถึงต้องเปิดโอกาสพื้นที่ให้เด็กแสดงความคิดเห็น ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เช่น เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ เพื่อปรับวิธีคิด วันนี้ทุกคนทราบดีว่าต่างประเทศเข้ามาไม่ได้ ซึ่งต้องรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่เช่นก็จะเกิดปัญหาไม่จ้างงาน 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงคดีบอส-วรยุทธ์ อยู่วิทยา ที่สื่อและสังคมให้ความสนใจว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าสื่อให้ความสำคัญกับเรื่องที่มีต่อสังคมไทย ที่นำเรื่องนี้มาเผยแพร่กับประชาชนให้รับรู้ ซึ่งตนเองเชื่อว่าสื่อจะต้องมีจรรยาบรรณ มีความเป็นอิสระมีความเข้มแข็งและแข็งแรง ซึ่งสื่อถือว่าเป็นฐานันดรที่ 4 ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตนเองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นความท้าทายของกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย และกระทบต่อความเข้าใจกับประชาชน รวมถึงระบบรัฐทั้งหมด ที่มีหลายล้านคดีในประเทศไทย ดังนั้นคดีบอส อยู่วิทยา ตนจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะตนเองไม่ต้องการให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อไปในอนาคต

นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศจุดยืนว่า "ผมไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ไม่ชัดเจน" และต้องการให้มีความโปร่งใส และตนเองได้ติดตามขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หลังจากได้ข้อสรุปจากคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้อง คดีบอส อยู่วิทยา ที่ตนเองตั้งขึ้นที่มีความเป็นอิสระ เป็นผู้ที่สังคมยอมรับ มีความเป็นกลาง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ต้องพูดเพื่อให้รู้ว่าบทบาทของนายกรัฐมนตรีอยู่ตรงไหน ถ้าต้องลงไปเกี่ยวพันถึงระดับปฏิบัติข้างล่างคงไม่ได้ แต่นายกรัฐมนตรี ติดตาม กำกับ ดูแล ประเมินผลได้ โดยข้างบนจะไปหาคำตอบมาให้ ดังนั้นทุกเรื่องที่เป็นปัญหาก็สามารถส่งตรงมาถึงตนเองได้หมด และก็นำมาประมวลเป็นของตัวเอง ไม่ใช่อ่าน และเชื่อไปทั้งหมด