ไม่พบผลการค้นหา
‘เชิดชาย’ เผย ‘อีสท์ วอเตอร์’ ลุยลงทุนพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำเพิ่มเติมอีก 120 กม. หวังรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออก-พื้นที่ EEC เน้นบูรณาการการบริหารให้เกิดความเป็นเอกภาพ-เสถียรภาพ พร้อมเพิ่มทุน-ระดมทุนก่อสร้างสถานีสูบน้ำ-โครงข่ายท่อส่งน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม รองรับภัยแล้งทั้งปัจจุบัน-อนาคต

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2565 เชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จํากัด (มหาชน) (อีสท์ วอเตอร์) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขยายการลงทุนโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ (Water Grid) ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่งน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกของ อีสท์ วอเตอร์ ที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ ว่า ปัจจุบันอีสท์ วอเตอร์ มีระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ Water Grid ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่งน้ำในพื้นที่ จ.ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ความยาวรวมทั้งสิ้น 512 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบโครงข่ายท่อเพิ่มเติมด้วยความยาวอีกกว่า 120 กิโลเมตร เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามภารกิจในการบูรณาการการบริหารและจัดการระบบท่อส่งน้ำดิบในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่เน้นความเป็นเอกภาพและเสถียรภาพ รวมถึงดูแลบำรุงรักษาระบบท่อส่งน้ำให้สามารถตอบสนองความต้องการการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอ ทันต่อเหตุการณ์

“การขยายการลงทุนครั้งนี้ เพื่อสร้างมั่นใจให้กับผู้ใช้น้ำว่า อีสท์ วอเตอร์ยังคงมีขีดความสามารถในการให้บริการส่งจ่ายน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และพื้นที่ EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถขยายระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ อีสท์ วอเตอร์ ยึดมั่นมาตลอด 30 ปี”เชิดชาย ระบุ

เชิดชาย กล่าวด้วยว่า ด้วยประสบการณ์การบริหารจัดการนํ้าในภูมิภาคตะวันออก บูรณาการการบริหารจัดการน้ำดิบผ่านท่อส่งน้ำขนาดใหญ่อย่างเป็นเอกภาพให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและภาคอุปโภคบริโภค มายาวนานกว่า 3 ทศวรรษของ อีสท์ วอเตอร์ ทำให้ภาคตะวันออกกลายเป็นต้นแบบการบริหารจัดการน้ำที่สมบูรณ์ของประเทศไทย ซึ่งผลจากการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง พร้อมจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า น้ำ มีความสำคัญกับโลกมากเพียงใด นอกจากจะหล่อเลี้ยงทุกชีวิตให้เติบโตแล้ว ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวชี้วัดสภาพทางเศรษฐกิจ และทิศทางการเติบโตของประเทศ การบริหารจัดการน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์ วอเตอร์ กล่าว

อีสท์วอเตอร์ -30CD-4C20-9971-5C35B2788150.jpeg


เชิดชาย ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นการก่อตั้ง อีสท์ วอเตอร์ ด้วยว่า เริ่มจากโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณขายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Seaboard Development Program (ESDP) ที่เกิดขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2525-2529 ที่เป็นนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อปูรากฐานผลักดันให้เขตพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นประตูสู่การค้าและฐานการผลิตอุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียน โดยแผนด้านการจัดการน้ำจึงเป็นหนึ่งในแผนสำคัญหลักของ ESDP ซึ่งต้องใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนระบบท่อส่งน้ำเพิ่มอีกกว่า 4.5 พันล้านบาท ประกอบกับขณะนั้นมีหน่วยงานรัฐหลายส่วนงานที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำ ทั้งกรมชลประทาน, กรมโยธาธิการ, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หลังจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ พิจารณากฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงเสนอแนวคิดการจัดตั้งบริษัท รูปแบบ concession company ทำหน้าที่ให้บริการสาธารณะเป็น One Stop Service ด้านน้ำเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นภาพรวม เป็นที่มาของของการก่อตั้ง อีสท์ วอเตอร์ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2535 โดย กปภ.เป็นผู้ถือหุ้น 100% เพื่อบูรณาการการบริหารจัดการน้ำดิบผ่านท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ อย่างเป็นเอกภาพให้ แก่ภาคอุตสาหกรรมและภาคอุปโภคบริโภค

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์ วอเตอร์ กล่าวต่อว่า ในระยะเริ่มต้นของการจัดตั้งอีสท์ วอเตอร์ จึงให้หน่วยงานรัฐที่ดูแลทรัพย์สินที่มีอยู่เดิม โอนทรัพย์สินให้กรมธนารักษ์ เพื่อสะดวกแก่การทำสัญญาเช่ากับ อีสท์ วอเตอร์ การลงทุนใดๆ หลังจากนั้น ต้องเป็นหน้าที่ของ อีสท์ วอเตอร์ในการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อลดภาระการใช้งบประมาณภาครัฐ ในการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำเพิ่มเติมในอนาคต ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ อีสท์ วอเตอร์ บริการสาธารณะ และมีกำไรพอสมควรแก่นักลงทุน จึงกำหนดอัตราค่าเช่าทรัพย์สินไว้ค่อนข้างต่ำให้มีหน่วยงานรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สามารถกำกับดูแลนโยบายได้ตามมติ ครม. และได้เงินปันผลพร้อมกับนักลงทุน ต่อมาในปี 2540 อีสท์ วอเตอร์ ได้เพิ่มทุนและแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมเงินทุน ลงทุนสร้างระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำให้รองรับปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี

“ปัจจุบัน อีสท์ วอเตอร์ มีทุนจดทะเบียน 1,663.73 ล้านบาท มีหน่วยงานรัฐเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถือหุ้นรวมกันประมาณร้อยละ 45” เชิดชาย ระบุ

เชิดชาย กล่าวต่อว่า นอกจากระบบท่อที่ได้รับสัญญาบริหารจากกรมธนารักษ์ ความยาว 135.90 กิโลเมตรแล้ว อีสท์ วอเตอร์ ยังเพิ่มทุนและระดมทุนเพื่อก่อสร้างสถานีสูบน้ำ โครงข่ายท่อส่งน้ำ และแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม พร้อมนำระบบควบคุมการสูบส่งระยะไกล หรือ SCADA มาประยุกต์ใช้ สามารถติดตามผลและแก้ปัญหาการสูบส่งน้ำได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบ Control center เป็นศูนย์กลางการควบคุม มีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบ จากทุกแหล่งน้ำตลอดเวลาแบบ Real Time ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสูญเสียน้ำในเส้นท่อ และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำได้ดียิ่งขึ้น เชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักของภาครัฐ (อ่างเก็บน้ำ) แม่น้ำสายหลัก และแหล่งน้ำเอกชนกับลูกค้าในพื้นที่บริการทั้ง 3 จังหวัด เกิดเป็นโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย และสมบูรณ์ที่สุดในอาเซียน ความยาวรวม 512 กิโลเมตร เป็นการเชื่อมโยงแหล่งน้ำสำคัญในภาคตะวันออกเกือบทั้งหมด ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ดอกกราย คลองใหญ่ และประแสร์ แม่น้ำระยองและคลองทับมาใน จ.ระยอง อ่างเก็บน้ำหนองค้อและบางพระใน จ.ชลบุรี รวมถึงแม่น้ำบางปะกงใน จ.ฉะเชิงเทรา ผ่านโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่เชื่อม 2 ลุ่มน้ำใน 3 จังหวัด นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับท่อของกรมชลประทาน ใน จ.จันทบุรี ด้วย

“ทำให้ อีสท์ วอเตอร์ สามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมพื้นที่ EEC ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในสภาวะภัยแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง อีกทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำเค็มรุกในแม่น้ำบางปะกง การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนอย่างสม่ำเสมอ และด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการน้ำมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์ วอเตอร์ กล่าว

เชิดชาย ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วยว่า หลังจากสถานการณ์ภัยแล้ง ในปี 2547-2548 ต่อมา อีสท์ วอเตอร์ ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อบริหารจัดการน้ำ จัดตั้ง War Room กับผู้มีส่วนร่วม เช่น กรมชลประทาน กนอ. กปภ. ผู้ใช้น้ำ และ อีสท์ วอเตอร์ ทำให้เกิดการร่วมกันแก้ไขอย่างมีเอกภาพ ทำให้เกิดโครงการลงทุนท่อเชื่อมลุ่มน้ำ แหล่งน้ำต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งโครงการของ อีสท์ วอเตอร์ เช่น ท่อส่งน้ำบางปะกงเชื่อมท่อแหลมฉบัง ท่อส่งน้ำประแสร์-คลองใหญ่ และโครงการของภาครัฐ เช่น ท่อส่งน้ำคลองพระองค์เจ้าไชยยานุชิต-บางพระ เป็นต้น และโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ ทำให้ภาคตะวันออกรอดพ้นจากการขาดแคลนน้ำไปได้ ต่อมาในปี 2562-2563 ได้เกิดภัยแล้งอีกครั้ง แต่เนื่องจากความร่วมมือในการทำงานของ War Room และโครงข่ายท่อส่งน้ำที่สมบูรณ์ จึงทำให้ภาคตะวันออก ผ่านพ้นไปได้อีกครั้ง โดยการมีโครงข่ายท่อที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์และการบริหารงานที่เป็นเอกภาพเป็นปัจจัยสำคัญ

“มาตรการรองรับวิกฤตขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรานั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ร่วมมือกันบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ลดการใช้น้ำลงร้อยละ 10 ขณะที่ อีสท์ วอเตอร์ ก็ได้จัดหาแหล่งน้ำอื่น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำ และกรมชลประทาน ในการเตรียมความพร้อม ด้านเครื่องมื่อเครื่องจักร ขอความร่วมมือควบคุมการใช้น้ำของภาคเกษตรกรรม และทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัด เป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่วางไว้อย่างเคร่งครัด และให้มีน้ำเพียงพอ” เชิดชาย ระบุ