อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพปชร. และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยตรง เนื่องจากพื้นที่ภายในกรมทหารราบที่ 11 เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ถูกใช้เป็นศูนย์บัญญชาการศอฉ. ที่ล้อมปราบม็อบเสื้อแดงด้วยกระสุนจริงอย่างอำมหิต เมื่อปี 2553 อันมีเครือข่าย 3 ป. ในฐานะผู้สั่งการในปีกทหาร ภายใต้การตัดสินใจของรัฐบาลพลเรือน โดย พล.อ.ประวิตร อยู่ในสถานะ รมว.กลาโหม และรองผอ.ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ในสถานะผบ.ทบ. ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 3 และพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสถานะรองผบ.ทบ. ผู้ผู้อำนวยการ
ว่ากันว่าสาเหตุหนึ่งในการตัดสินใจใช้กำลังเข้ารัฐประหารเมื่อปี 2557 ของ คสช. เครือข่าย 3 ป. มีเป้าหมายอยู่ที่การบริหารจัดการคดีการปราบปรามโดยรัฐข้างต้น ที่ศาลมีผลชันสูตรพลิกศพว่า เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ อันถือเป็นคดีร้ายแรงในทางอาญา แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า การยึดอำนาจของคสช.เกิดจากแรงขับดันในประเด็นดังกล่าว แต่กระแสข่าวตลอด 5 ปี ภายใต้เงาเผด็จการทหาร ก็จะพบหลักฐานเชิงประจักษ์ คดีการสลายการชุมนุมในกระบวนการยุติธรรมไม่คืบหน้า และถูกบีบให้ไร้ช่องทางการต่อสู้
ทั้งในส่วนของผู้สั่งการในรัฐบาลขณะนั้น
28 ส.ค.2557 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557
17 ก.พ. 2559 ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีหลายเลขดำ อ.4552/2556
31 ส.ค. 2560 ศาลฎีกามีคำสั่งในคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556และ อ.1375/2557 ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ส่วนช่องทางผ่านองค์กรอิสระที่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ก็ถูกนำมาใช้ตีตกคดีดังกล่าว ในปี 2558 พร้อมกับยืนกรานไม่ทบทวนรื้อฟื้นการพิจารณาในปี 2561
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงผู้ปฏิบัติการ ก็จะพบความเคลื่อนไหว จากกระแสข่าว "นายพล" เดินแรง ล็อบบี้อัยการให้กลายเป็นสำนวนมุมดำ มุ่งดับฝันปิดช่องการฟ้องร้องเอาผิดกับองคาพยพของ ศอฉ.ทั้งหมด
การสาดสีแดงอันสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ถึงเลือดและความตายที่กลุ่ม นปช. หรือคนเสื้อแดงถูกหยิบยื่นให้โดยอาวุธสงครามจากกองทัพ
คำปราศรัยจากคนเสื้อแดงถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนจากการสังหารที่เล็งเห็นผล การให้สัมภาษณ์ของ เอกชัย หงส์กังวาน ถึงประวัติศาสตร์บาดแผลที่ไม่มีวันลืมจากการกระทำอันเกินกว่าเหตุ ที่ ศปช. รวบรวมข้อมูลถึงเดือน ธ.ค. 2555 ว่า ในจำนวนผู้ตาย 94 ศพ คิดเป็นร้อยละ 87.2 ที่ถูกยิง
โดยร้อยละ 85.1 ของผู้ตายที่ถูกยิงในลักษณะเล็งเห็นผลให้ถึงแก่ชีวิต ตั้งแต่ช่วงศีรษะถึงลำตัว แบ่งเป็นถูกยิงช่วงศรีษะ- คอ 27 ศพ คิดเป็นร้อยละ 28.7
ศีรษะและส่วนอื่น 5 ศพ คิดเป็นร้อยละ 5.3 ลำตัว 48 ศพ คิดเป็นร้อยละ 51.1มีเพียง 2 ศพเท่านั้นที่ถูกยิงต่ำกว่าลำตัวที่มีอวัยวะภายในสำคัญ คิดเป็นเพียงร้อยละ 2.1 เท่านั้น
การเคลื่อนไหวของคณะราษฎร 2563 เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ทั้งหมดจึงเป็นการสื่อสารโดยตรงไปยัง เครือข่าย 3 ป. และองคาพยพทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลังการสังหารโหดกลางกรุงเมื่อทศวรรษที่ผ่านมาว่า คณะราษฎร 2563 พร้อมจะชำระประวัติศาสตร์บาดแผลที่เคยเกิดขึ้น เพื่อคืนความยุติธรรมให้วีรชน และญาติที่อุทิศชีวิตในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
นับเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับสังคมไทยที่จะก้าวพ้นความขัดแย้ง ด้วยการทวงคืนความจริงจากรัฐไทย ด้วยการทำลาย "วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด" ของผู้นำกองทัพ ที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และทำลายระบอบประชาธิปไตยอยู่เป็นนิจไปพร้อมกัน
การขยับและจัดวางยุทธศาสตร์ของคณะราษฎร 2563 ก่อนไปปักหลักศาลรัฐธรรมนูญที่จะชี้ชะตานายกฯเผด็จการสืบทอดอำนาจในวันที่ 2 ธ.ค. จึงนับว่า แหลมคม และทรงความหมาย ในการมุ่งมั่นทำลายเรื่องเล่ากระแสหลักอันบิดเบี้ยวของสังคมไทย
ผ่านการทำให้จำและลืมอะไรบางอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของเครือข่ายอภิสิทธิ์ชนมือเปื้อนเลือดจำนวนหนึ่ง ที่กดปราบและย่ำยีประชาชนมาเกือบทศวรรษ
เพราะถึงแม้กระบวนการในประเทศไทยไม่อาจดำเนินการกับผู้สั่งการได้
แต่หากเมื่อไรที่เครือข่าย 3 ป. หมดอำนาจ ช่องทางการเอาผิดคืนความยุติธรรมให้สังคมไทย ยังมีช่องทางไปต่อในแง่ของการฟ้องผู้ปฏิบัติการให้ซักทอดผู้ออกคำสั่ง หรืออาจลงนามให้การรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อนำคดีอำมหิตเข้าสู่การไต่สวนในระดับโลกต่อไปได้
เมื่อถึงวันนั้นก็ไม่แน่ใจว่า พญามัจจุราช ที่เป็นเรื่องขบขันของอดีตผู้นำกองทัพที่นำมาซึ่งความสูญเสียและอับอายของสังคมไทย จะพร้อมให้การต้อนรับอยู่หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง