แกร็บเผย ทางบริษัทมีแผนการลงทุนในเวียดนามเพิ่มจำนวน 2-3 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากประกาศจะลงทุนในอินโดนีเซียกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระบุตลาดเวียดนามขยายตัวอย่างเนื่องรองจากอินโดนีเซีย
ตลาดการแข่งขันบนส่งเอกชนในเวียดนามเริ่มคึกคักหลังจากที่แกร็บประกาศขยายเม็ดเงินลงทุนในเวียดนามเพิ่มอีก 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อให้บริการครอบคลุมมากยิ่งขึ้นและเหมาะสมกับผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อมูลจาก App Annie ระบุว่า เมื่อเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาในเวียดนามมียอดดาวน์โหลดแอปพลิชันแกร็บสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประธานบริษัทแกร็บ นายหมิง หม่ากล่าวว่า 'ตลาดในเวียดนามมีความคล้ายคลึงกับในอินโดนีเซีย ที่ประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่เข้าถึงบริการต่างๆผ่านทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์'
นอกจากแกร็บแล้ว Go-Jek ผู้ให้บริการชนส่งเอกชนของอินโดนีเซียได้เปิดตัวการให้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเวียดนามเมื่อปีที่ผ่านมา และยังมีแผนจะขยายการให้บริการครอบคลุมถึงแท็กซี่ในอนาคต
ขณะที่ FastGo ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งเอกชนของเวียดนามเองนั้นก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันมีผู้ให้บริการกว่า 60,000 คน และทาง FastGo ยังมีแผนขยายตลาดออกไปนอกเวียดนาม โดยเริ่มที่ สิงคโปร์เป็นที่แรก และคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถขยายตลาดไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้อีก 5 ประเทศ
เหงียน ฮูทัต ผู้บริหาร FastGo กล่าวว่า 'นับตั้งแต่อูเบอร์ประกาศถอนตัวจากตลาดในอาเซียน ทำให้นับเป็นโอกาสที่ดีของสตาร์ทอัปขนส่งเอกชน'
ขณะที่ Be Group แอปพลิเคชันให้บริการขนส่งเอกชนอีกรายของเวียดนามที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2018 ก็ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปีนี้จะมีคนขับผู้ให้บริการขนส่งกว่า 100,000 คน
รูปแบบของแอปพลิเคชันให้บริการขนส่งนั้นไม่เพียงแต่จะให้บริการในด้านการคมนาคมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการให้บริการขนส่งสินค้าและอาหาร เพื่อตอบสนองต่อตลาดผู้บริโภคในปัจจุบันและในบางแอปพลิเคชันยังขยายไปถึงการสามารถจ่ายเงินซื้อสินค้าและทำธุรกรรมทางการเงินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียวอีกด้วย
เมื่อปี 2018 แกร็บได้จับมือกับ โมคา (Moca) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินของเวียดนาม โดยเปิดให้บริการดิจิทัล วอลเลต นอกจากนี้แกร็บยังร่วมกับบริษัทเครดิตไซซัน (Saison) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อของญี่ปุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อให้บริการทางด้านการเงินและสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะที่ Go-Jek ก็ระดุมจากนักลงทุนทั้งจาก google, JD.com และ Tencent เพื่อขยายการให้บริการต่างๆ ที่ครอบคลลุมมากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดทาง Go-Jek มีแผนเปิดตัวฟีจเจอร์ด้านสุขภาพเพื่อให้บริการเรียกหมอและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ โดยผู้ใช้บริการสามารถสอบถามอาการป่วยและรับการรักษาผ่านแอปพลิเคชันของ Go-Jekได้อีกด้วย
ปัจจุบันตลาดของแอปพลิเคชันการให้บริการขนส่งเอกชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในปี 2018 มีมูลค่าตลาด 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2025 มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ประเทศไทยและเวียดนามก็เป็น 2 ประเทศที่การให้บริการดังกล่าวเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดนภายในปี 2025 คาดว่ามูลค่าตลาดของแอปพลิเคชันการใหบริการเหล่านี้จะเติบโตสูงถึง 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯและในเวียดนามจะเติบโตสูงถึง 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ