ปัจจุบัน จีนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี ที่อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่คนในวงการจำนวนไม่น้อยได้แสดงความกังวลว่า จีนกำลังประสบปัญญาใหญ่ เพราะมีนักวิจัยและวิศวกรด้าน AI ไม่เพียงพอ
ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากทั่วโลก รวมถึงผู้สนใจจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมงานประชุมด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์นานาชาติ ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีนในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมเอไอของจีนได้เป็นอย่างดี แม้ว่าความจริงแล้ว จีนกำลังขาดแคลนผลงานวิจัยในสายนี้อยู่ก็ตาม
โดยคนในวงการมองว่า หากจีนต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ต่อไป ต้องศึกษาเทคโนโลยีนี้จากสหรัฐอเมริกา เพราะอุตสาหกรรมที่นั่นสร้างสรรค์และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วกว่าจีน จึงดึดดูดคนมีฝีมือจากทั่วโลกให้ไปทำงานที่นั่นได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนตามอเมริกาไม่ทันคือ การที่ไม่มีนักวิจัยจากนานาชาติมาร่วมทีม ดังนั้น จีนจึงต้องพยายามสร้างดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลกให้มาทำงานที่จีนให้ได้
ในด้านของการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ หนึ่งส่วนประกอบสำคัญคือ LiDar (ไลดาร์) ซึ่งเป็นเรดาร์เลเซอร์ที่ช่วยให้รถตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ขณะเดินทาง โดยตลาด LiDar ส่วนใหญ่ตกเป็นของบริษัทอเมริกัน VeloDyne (เวโลดิน) แต่สตาร์ตอัปของจีนอย่าง Robosense (โรโบเซนซ์) เชื่อมั่นว่า ทีมงานของเขาสามารถพลิกตลาดให้มาที่จีนได้ เพราะ LiDar รุ่นใหม่ที่บริษัทคิดค้นขึ้นมานั้นมีขนาดเล็กกว่า จึงทำให้มีราคาถูกลงมาก จากหลายพันดอลลาร์จะเหลือเพียงหลักร้อยเท่านั้น
โดย Robosense ที่ก่อตั้งในปี 2014 แก้ปัญหาขาดแคลนนักวิจัยเอไอด้วยการจัดให้มีการฝึกอบรมนักศึกษาตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งพอนักเรียนเหล่านี้จบการศึกษา ก็จะสามารถเข้ามาทำงานกับบริษัทได้ทันที
สำหรับปีที่แล้ว (2017) มีบุคลากรที่ทำงานในอุตสาหกรรมผลิตชิปคอมพิวเตอร์ในจีนราวสามแสนคน และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าประมาณ 540 พันล้านหยวน หรือประมาณสองล้านล้านบาท โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า จีนควรเพิ่มจำนวนคนในอุตสาหกรรมเป็นสองเท่า หรือประมาณหกแสนถึงเจ็ดแสนคนภายในปี 2020 ขณะที่มหาวิทยาลัยในจีนสามารถผลิตบุคลากรให้อุตสาหกรรมนี้ได้เพียงสองหมื่นคนต่อปี จึงทำให้เกิดช่องว่างพอสมควร ดังนั้น บริษัททั่วประเทศจึงควรร่วมกันหาทางออกร่วมกันอย่างเร่งด่วน