รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 21 มกราคม 2563
“นายกฯ” วอน ดารา – ประชาชน เห็นใจรัฐบาล และเลิกตำหนิรัฐบาล “แก้ฝุ่น” ช้า ชี้มีมาตรการมีมาหมด มีมานาน ทั้งเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว แต่คนไทย โดยเฉพาะคนเมืองหลวง ยังเผชิญ และผจญฝุ่นที่หนักขึ้นเรื่อยๆ “อ.วิโรจน์ – อ.หญิง” ทวงถามมาตรการที่ผุดมาตั้งแต่ รู้จักฝุ่น PM 2.5 เมื่อปีที่แล้ว มาวันนี้ไม่มีอะไรเลย อย่าให้ถึงประชาชนเลิกพึ่งหวังรัฐบาลในปีหน้า..ถ้าฝุ่นกลับมาอีก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ย้ำถึงแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ว่าต้องทำความเข้าใจร่วมกัน มาตรการที่ออกมาจะรุนแรงหรือไม่ ต้องดูที่มูลเหตุและมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติแผนแม่บทไปแล้วก่อนหน้านี้ ที่มีแผนเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว วันนี้จึงต้องดูว่าปัญหาค่าฝุ่นละออง พื้นที่ใดรุนแรง เพราะแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน จึงต้องมีมาตรการเฉพาะดูแลแต่ละพื้นที่
โดยค่าฝุ่นระดับไม่เกิน 50 ไม่มีปัญหา ใช้มาตรการปกติในการดูแล ระดับ 51-75 อยู่ในระดับที่ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด จะต้องใช้มาตราการเข้มงวดในการลดค่าฝุ่นละออง ระดับ 76-100 จะต้องเข้มงวดรถ เข้าออก หรือการกำหนดวันในการใช้รถ ขณะที่ค่าฝุ่นละอองเกิน 100 รัฐบาลก็มีมาตรการควบคุมหรือหยุดการใช้รถทั้งหมด โดยใช้รถสาธารณะแทน หรือห้ามใช้รถที่มีอายุเกิน 10 ปี
รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่ลดผลกระทบโดยคำนึงถึงความรอบด้าน เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากกรณีใดกรณีหนึ่ง เช่นควันดำจากรถที่ทุกประเภทก็สร้างปัญหา เช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่รถบรรทุกเท่านั้น แต่ได้สั่งการให้เข้มงวดตรวจสอบอย่างเต็มที่ ขณะที่มาตรการลดการเผา ก็จะทำอย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม ขณะที่สถานศึกษา ก็ขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการโรงเรียนพิจารณาสั่งหยุดเรียน แต่ต้องชดเชยการเรียนการสอนเพิ่มเติม
ส่วนที่ดารา นักแสดง และประชาชนต่างตำหนิมาตรการที่ออกมานั้น เห็นว่า ขอให้เปิดใจรับฟังบ้าง และรับรู้การทำงานของรัฐบาล ว่าทุกอย่างมันต้องคำนึงถึงภาพรวมทั้งหมด มาตรการในการแก้ปัญหา จะออกมาอย่างเป็นรูปธรรมในการประชุมคณะ -กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 23 ม.ค.นี้ โดยย้ำว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการที่เหมาะสม หากแก้ไม่ได้ ก็จะยกระดับมาตการเพื่อแก้ปัญหาทีละขั้นตอน
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก ผู้ว่าฯ อัศวิน ของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า ช่วงที่ค่าฝุ่นและมลพิษเกินมาตรฐานแบบนี้ พบว่าประชาชนยังสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นกันน้อยมาก อาจเพราะหน้ากากกันฝุ่น N95 มีราคาสูงหรือหายาก อย่างน้อยสวมหน้ากากอนามัยธรรมดา ก็จะยังดีกว่า และควรเลี่ยงการอยู่นอกอาคารด้วย
ที่ผ่านมา กทม.ได้จัดเจ้าหน้าที่ 50 เขต และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กทม.ลงพื้นที่ให้ความรู้ในการป้องกันตัวเองจากฝุ่นและมลพิษ รวมถึงแจกหน้ากากอนามัยแก่พี่น้องประชาชนและเด็กๆ ในโรงเรียน มาตั้งแต่ช่วงที่ค่าฝุ่นสูงอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้ว กทม.ได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้ประชาชนมากกว่า 1 แสนชิ้น ปีนี้ก็ยังแจกต่อเนื่อง รวมถึงกำชับให้โรงเรียนงดกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภทในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงด้วย
ต่อมายังโพสต์อีกว่า กทม.ได้จัดทีมแพทย์และสาธารณสุขเคลื่อนที่ ออกให้ บริการดูแลและตรวจสุขภาพประชาชน แจกหน้ากากอนามัย รณรงค์ให้ความรู้เรื่องฝุ่น PM 2.5 และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคจาก PM 2.5 มาตั้งแต่เริ่มมีปัญหาค่าฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน โดยประชาชนสามารถรับบริการตรวจสุขภาพได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขกทม.ทั้ง 68 แห่งใกล้บ้าน หรือโทรศัพท์สอบถามและปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพผ่านสายด่วนสุขภาพ สำนักการแพทย์ โทร. 1646 ตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวหลังการประชุมมาตรการรับมือฝุ่น ว่า พล.ต.อ.อัศวิน สั่งการให้ประกาศหยุดเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. 437 แห่ง ในวันที่ 22 ม.ค.63 จากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานหลายพื้นที่จากสภาพอากาศปิด และติดตามรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อพิจารณาว่าจะปิดเพิ่มหรือไม่ โดยจะจัดการเรียนเสริมให้ทดแทนในวันอื่น
นอกจากนี้ จะเหลื่อมเวลาทำงานข้าราชการ ที่ทำงานภายในสำนักงานที่ศาลาว่าการฯ กทม. ทั้งเสาชิงช้า และดินแดง เพื่อลดการใช้รถในชั่วโมงเร่งด่วน ช่วงเช้า เวลา 06.00-09.00 น. ช่วงเย็น 15.30-18.00 น. โดยจะให้เริ่มงาน 10.00-18.00 น. ตั้งแต่ 22 ม.ค.63 จนกว่าจะพ้นช่วงวิกฤต ยืนยันไม่กระทบส่วนงานบริการประชาชนที่ยังทำงานเป็นปกติ ถือเป็นหน่วยงานแรกที่นำร่องมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยการเหลื่อมเวลาทำงาน เพื่อเอารถออกจากถนนในชั่วโมงเร่งด่วน และจะรณรงค์หน่วยงานอื่นๆ ใช้มาตรการนี้ด้วย
พร้อมกันนี้ กทม. ยังเตรียมหน้ากากอนามัย 400,000 ชิ้น สำหรับแจกจ่ายให้ประชาชน เริ่มแจกที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 68 แห่งของ กทม. และสถานีรถไฟฟ้า ขอให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกอาคารบ้านเรือนในช่วงนี้ เพื่อเป็นป้องกันตนเอง