วันนี้ (4 ม.ค. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดงาน กรุงเทพกลางแปลง ปีที่ 3 ร่วมกับ นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และ นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า สำหรับเทศกาลกรุงเทพกลางแปลง หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เราจัด อยากบอกว่าไม่ต้องขอบคุณกรุงเทพมหานครเลย เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ของพวกเราทุกคน เพราะชื่อ “ลานคนเมือง” บ่งบอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นของพวกเรา และพื้นที่ทุกแห่งใน กทม. หากเปิดให้ฉายหนังกลางแปลงได้ก็จะทำ เพราะอยากให้ทุกคนได้มาใช้ประโยชน์ หนังกลางแปลงเองเป็นสิ่งทีอยู่กับเรามาช้านาน ซึ่งก็หายไปช่วงหนึ่งเพราะเกิดโรงภาพยนตร์ขึ้นมา แต่หนังกลางแปลงเองเป็นเหมือนตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เป็นความบันเทิงที่จับต้องได้ทั้งครอบครัวโดยที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายราคาแพง และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร้านต่าง ๆ ในพื้นที่มาค้าขายได้ และปีนี้ถือเป็นปีพิเศษเพราะเราได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เชื่อว่าอนาคตหนังกลางแปลงจะเติบโตขยายใหญ่ขึ้น จัดใชุมชนต่าง ๆ ถือเป็นการฟื้นคืนชีพหนังกลางแปลง และได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือทั้งประชาชนและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ขอบคุณ THACCA กระทรวงวัฒนธรรม สำหรับงบประมาณสนับสนุนงานกรุงเทพกลางแปลง สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย หอภาพยนตร์ และภาคีทั้งหมด กทม. เป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุนเล็ก ๆ ที่ช่วยทำให้สถานที่สวย ๆ ของเมืองเราไปเฉิดฉายในเวทีประเทศและระดับโลก

สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ร่วมกับ Thailand Creative Content Agency (THACCA) และกรุงเทพมหานคร ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจัดงานโดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และความร่วมมือจากภาคเอกชน อาทิ Happening, พรชีวา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์, Autopilot Entertainment, Play United Verse-XItur พันธุ์ทาง อาร์ตเวิร์ค จัดเทศกาลภาพยนตร์ “กรุงเทพกลางแปลง” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 12 เดือน 12 เทศกาล ของกรุงเทพมหานคร และร่วมในเทศกาล Colorful Bangkok 2024 โดยกำหนดจัดทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ 3 สัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. กับ 3 สถานที่จัดงาน คือ ลานคนเมือง คลองผดุงกรุงเกษม – หัวลำโพง และสวนลุมพินี

สำหรับสัปดาห์แรกของเทศกาลกรุงเทพกลางแปลง ณ ลานคนเมือง ในครั้งนี้ ฉายภาพยนตร์ 2 เรื่อง 2 อรรถรสคือ วันเสาร์ที่ 4 ม.ค. ฉายภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ และวันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค. ฉายภาพยนตร์เรื่อง ทวิภพ โดยเหตุผลที่เลือกภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องมาฉายในสัปดาห์แรก คือ สัปเหร่อ เป็นภาพยนตร์ที่มีรายได้สูงสุดในปี 2566 คว้ารางวัลมามากมาย และได้รับการคัดเลือกให้เข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และทวิภพ นับเป็นภาพยนตร์พีเรียด- โมเดิร์น เรื่องแรก ๆ ของไทย โดยมีฉากในหนังเล่าเรื่องอยู่ในเมืองเก่า วัง เจ้าพระยา และเวอร์ชันที่นำมาฉาย เป็น Director's Cut ของคุณสุรพงย์ พินิจค้า ผู้กำกับในตำนานาน ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ไม่ได้ฉายโรงนับว่าหาดูได้ยาก นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติอีกด้วย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย อาทิ การฉายภาพยนตร์สั้น การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินไทย การพูดคุยกับนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังภาพยนตร์ ตลาดนัดคนกองถ่าย ซึ่งคนที่ทำงานในวงการภาพยนตร์นำของมาขาย และร้านอาหารอร่อยมากมาย โดยงานเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป และภาพยนตร์ฉายเวลา 19.00 น.

ส่วนในครั้งถัดไปของงานกรุงเทพกลางแปลง 11-12 มกราคม จัดที่คลองผดุงฯ หัวลำโพง ฉายภาพยนตร์เรื่อง Sea Sparkle และ RedLife 18-19 มกราคม จัดที่สวนลุมพินี ฉายภาพยนตร์เรื่อง ดอยบอย และทะเลของฉันมีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง สำหรับรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละวันสามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊ก กรุงเทพมหานคร และ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย

ในการนี้ นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ผู้แทนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐ และเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงาน

ประสพ เรียงเงิน

ARTICLE

คุณภาพสังคม

‘กรุงเทพกลางแปลง’ ปี 3 วันแรก ฉาย ‘สัปเหร่อ’ เบิกโรงเขย่าลานคนเมือง