ไม่พบผลการค้นหา
"เทพไท" ชี้ "สมคิด" โยนหินยุบสภา มีความเป็นไปได้สูง และพรรคการเมืองไม่ควรมองข้าม ฟันธง "พล.อ.ประยุทธ์-4 กุมาร" รีบชิงความได้เปรียบทางการเมือง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเตือนให้ระวังพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ พร้อมแนะดูตัวอย่างรัฐบาลสิงคโปร์ชิงยุบสภา เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ เพื่อเลือกตั้งใหม่ ให้ได้รัฐบาลมีประสิทธิภาพนั้น ว่า เป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองแบบโยนหินถามทาง ที่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองไม่ควรมองข้าม เพราะคนอย่างนายสมคิดที่มีฐานะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้ยุบสภา น่าจะมีการประมวลข้อมูลทางการเมือง หรือวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองอย่างรอบคอบแล้ว ก่อนที่จะออกมาแสดงท่าทีในลักษณะเช่นนี้

นายเทพไท ระบุว่า นายสมคิด เป็นหัวหน้ากลุ่ม 4 กุมาร และที่ผ่านมาได้ทำนโยบายหลายอย่างที่เกี่ยวกับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 น่าจะมีการเช็คเรทติ้ง หรือวัดคะแนนนิยม หรือผลสัมฤทธิ์ในการเยียวยาให้กับประชาชนจำนวน 48 ล้านคนมาแล้ว และคงจะมีความเชื่อว่าความนิยมในเรื่องการแก้ปัญหาเยียวยาครั้งนี้ ไม่ได้มีเฉพาะกับตัวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น ตัวของนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เป็นผู้มีบทบาทในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

"ถ้าหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริงตามคำแนะนำของนายสมคิด และมีการเลือกตั้งใหม่ นายสมคิดคงมีความเชื่อลึกๆว่า สามารถเรียกคะแนนนิยมให้กับกลุ่ม 4 กุมารได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เพราะถ้าดูจากผลสำรวจของนิด้าโพล จะพบว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในฐานะผู้มีความเหมาะสมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคะแนนความนิยมหรือเห็นใจกลุ่ม4กูมาร ก็มีจำนวนมากเช่นกัน ถ้ามีการแยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็จะโกยคะแนนไปได้ไม่น้อยทีเดียว"

ดังนั้น ถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ กลุ่มที่ได้ประโยชน์หรือได้เปรียบทางการเมืองมากที่สุด ก็คือตัวพล.อ.ประยุทธ์ และนายอุตตมเท่านั้น ที่ประชาชนรู้จักและกล่าวขานถึงผลงานการเยียวยาแจกเงินให้กับประชาชนมากถึง 48 ล้านคน ถ้าหากกลุ่มเป้าหมาย 48 ล้านคนนี้ แปรเป็นคะแนนในการเลือกตั้งแค่ร้อยละ25 จะได้เป็นคะแนน 12 ล้านเสียง มากกว่าคะแนนของทุกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562

สำหรับตนเองนั้น พร้อมยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ ชีวิตนักการเมืองทุกคน เมื่อเจอวิกฤติการยุบสภาเกิดขึ้น ก็พร้อมจะลงสนามเลือกตั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อประชาชน ส่วนตัวเห็นว่าชีวิตนักการเมืองไม่ต้องกลัวการยุบสภา เพราะเมื่อยุบสภาแล้วก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการยุบสภา ก็คือการรัฐประหาร เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้อนาคตว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ และจะมีการสืบทอดอำนาจอีกนานแค่ไหน