รศ.ยุทธพร อิสระชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่าภาวะเสียงปริ่มน้ำในสภายังคงอยู่ และสามารถสร้างให้เกิดความ พลิกผันทางการเมืองได้ตลอด จากนี้เชื่อว่าจะต้องพูดคุยมากขึ้นขณะที่ข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงการวินิจฉัยของประธานสภา จะต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ ซึ่งจะเป็นกลไกที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นทั้งในแง่ของเสถียรภาพรัฐบาลและสภาล่มบ่อยครั้ง จะนำมาสู่การตั้งคำถามของประชาชนต่อระบอบรัฐสภา โดยเฉพาะความชอบธรรมว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะความชอบธรรม ของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
ดังนั้นในฝั่งของรัฐบาลจะต้องมีผู้จัดการรัฐบาลที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดการเจรจายอมรับพูดคุยกันได้ ทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงพรรคฝ่ายค้าน พร้อมเสนอแนะให้ทั้งสองฝ่าย ใช้กระบวนการของวิป ให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น ก่อนที่ประชาชน จะเกิดความเบื่อหน่าย
ยุทธพร มองว่าเจตนารมณ์ ข้อบังคับการประชุมข้อที่ 85 ต้องการให้เกิดการสอบทานเรื่องการนับคะแนนมีความถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่จะหยิบมาใช้ได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องมีเหตุที่นำไปสู่การใช้ โดยเฉพาะเหตุสงสัยในผลการนับคะแนน เช่นเครื่องลงคะแนนผิดพลาดหรือไม่ ผลการนับคะแนนคลาดเคลื่อนหรือไม่ หรือกระทั่งการกดเห็นชอบและไม่เห็นชอบผิดพลาดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของความสงสัย
พร้อมยืนยันว่าที่สุดแล้วหากต้องการนับคะแนนใหม่จะต้องนับจากองค์ประชุมของวันที่ 27 พฤศจิกายนคือ 467 คนที่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุมในวันดังกล่าว ซึ่งคนที่อยู่นอกเหนือจาก 467 คนไม่สามารถลงคะแนนได้เนื่องจากจะขัดข้อบังคับการประชุมข้อที่ 86
ดังนั้นฝ่ายรัฐบาล ในฐานะเสียงข้างมากจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ระบบงานของสภาผู้แทนราษฎรสามารถเดินได้ ส่วนการแสดงความเห็นต่างๆที่ไม่ตรงกับฝ่ายค้านทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและชั้นกรรมาธิการ ควรจบลงด้วยการหารือ ซึ่งจะเห็นได้ว่าความพยายามรวบรวมเสียง หลังสภาล่มในครั้งแรก เมื่อเปิดประชุมนับองค์ประชุมอีกครั้งก็ยังได้เพียง 240 เสียง จึงเป็นภาพสะท้อนของสภาผู้แทนราษฎรว่า หากมีการขับเคลื่อนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะไม่สามารถทำให้งานสภาเดินต่อไปได้