ไม่พบผลการค้นหา
"วีรศักดิ์" สั่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งส่งเสริมผู้ประกอบการร้านอาหารเชื่อมโลกออฟไลน์-ออนไลน์ รองรับสถานการณ์โควิด-19 เผย 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ธุรกิจส่งอาหารรายได้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ขอความร่วมมือร้านอาหารต่างๆ จำกัดการให้บริการเฉพาะผู้ที่ซื้อกลับไปทานที่อื่น หรือใช้บริการพนักงานส่งอาหาร (Food Delivery) เท่านั้น ซึ่งจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารที่มีการให้บริการส่งอาหารแบบฟู้ดเดลิเวอรีมียอดสั่งอาหารเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดด อีกทั้ง ระบบดังกล่าวยังสอดรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย รวดเร็ว ประหยัดเวลา พร้อมเสิร์ฟ พร้อมทาน ทำให้ระบบการให้บริการแบบฟู้ดเดลิเวอรีได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง 

โดยจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการร้านอาหารหลายราย ที่มีการให้บริการแบบฟู้ดเดลิเวอรี หรือเป็นพันธมิตรกับภาคธุรกิจที่ให้บริการส่งอาหาร พบว่า มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดประมาณ 2-3 เท่าตัว

ขณะเดียวกันก็มีผู้บริโภคซื้ออาหารกลับไปทานที่บ้านเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน รวมทั้ง ได้พูดคุยกับพนักงานส่งอาหารแบบเดลิเวอรี พบว่า ช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีลูกค้าใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว ปกติจะวิ่งรถช่วงเวลาประมาณ 10.00 - 17.00 น. รายได้ประมาณ 250 - 300 บาท แต่พอเข้าสู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ขยายเวลาวิ่งรถตั้งแต่ 07.00 - 21.00 น. เนื่องจากมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รายได้ที่ได้รับก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกันเป็นประมาณ 500 - 700 บาท ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารจึงควรมีการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดูตัวอย่างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของผู้คนต้องเปลี่ยนไป เน้นการสั่งอาหารผ่านพนักงานส่งอาหารแบบฟู้ดเดลิเวอรีมากขึ้น นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับร้านอาหารที่มีการให้บริการดังกล่าว ซึ่งทั้งร้านอาหารผู้ให้บริการ พนักงานผู้ส่งอาหารแบบฟู้ดเดลิเวอรี และผู้บริโภคที่สั่งอาหาร ต่างได้รับความพึงพอใจ เข้าลักษณะ win win win ทั้ง 3 ฝ่าย

จึงได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพัฒนาและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการร้านอาหารของไทยให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการร้านค้าส่งเสริมให้เชื่อมโลกออฟไลน์และออนไลน์ (O2O) เข้าด้วยกัน เน้นทำการตลาดผ่านระบบฟู้ดเดลิเวอรีควบคู่ไปกับการบริการที่ดีเยี่ยมภายในร้าน รวมทั้ง มีระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ ซึ่งจะทำให้การบริการของผู้ประกอบการร้านอาหารของไทยครบวงจรมากขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เป็นการเพิ่มยอดขายและรายได้ให้แก่ธุรกิจในระยะยาว โดยหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลงให้กรมฯ รีบดำเนินการทันที

เบื้องต้น กรมฯ เตรียมเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการร้านอาหารของไทยภายใต้โครงการ "Smart Restaurant 2020" โดยจะมีการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ จำนวน 2 รุ่น แบ่งเป็น 

1) รุ่นมือใหม่ สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มองค์ความรู้ระดับพื้นฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นประกอบธุรกิจร้านอาหาร โดยเนื้อหาจะเน้นเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ (Restaurant Branding) พื้นฐานการจัดการร้านอาหาร กลยุทธ์ธุรกิจเดลิเวอรี่ การทำการตลาดด้วยสื่อโซเชียลมีเดีย เทคโนโลยีสำหรับร้านอาหาร การจัดการสต็อก/เมนูพื้นฐาน และการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเบื้องต้น

2) รุ่นมือโปร สำหรับผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่มีองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ๆ เช่น การปรับตัวในยุค 5G การวางแผนระบบร้านค้าและการขยายสาขา เทคนิคการจัดการบัญชีร้านอาหาร การทำการตลาดด้วยสื่อโซเชียลมีเดียระดับสูง การบริหารการตลาดและกลยุทธ์การทำการตลาดผ่านระบบเดลิเวอรี่ และการประชาสัมพันธ์ร้านค้า

สำหรับการทำการตลาดแบบ O2O คือ การเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำ สร้างฐานลูกค้าประจำ ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขาย สิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่กัน คือ ต้องเชื่อมโลกออฟไลน์เข้ากับโลกออนไลน์อย่างลงตัว ผ่านระบบเดลิเวอรี่ ที่จะช่วยสร้างผลกำไรให้ธุรกิจในระยะยาว ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก้าวทันโลกธุรกิจ ก็สามารถที่จะเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคได้อย่างไม่ยากด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.พ. 2563) มีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจภัตตาคารร้านอาหาร จำนวนทั้งสิ้น 15,260 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 106,461.97 ล้านบาท โดยในปี 2563 (เดือน ม.ค. - ก.พ.) มีผู้จดทะเบียนธุรกิจภัตตาคารร้านอาหาร ทั้งสิ้น 416 ราย ทุนจดทะเบียน 852.17 ล้านบาท ปี 2562 จำนวน 2,113 ราย ทุนจดทะเบียน 4,272.13 ล้านบาท ปี 2561 จำนวน 2,058 ราย ทุนจดทะเบียน 6,633.47 ล้านบาท และปี 2560 จำนวน 1,916 ราย ทุนจดทะเบียน 4,396.19 ล้านบาท 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :