ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯเผย 15 พ.ค.นี้ ศบค.ลุยตรวจเยี่ยมสถานที่เตรียมปลดล็อกเฟส 2 ระบุ หากสถานประกอบการฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโควิด-19 สั่งปิดได้อีก วอนตัวเองต้องการความรักสามัคคีหลังแจกเงินเยียวยาให้คนส่วนใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ ทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จะไปตรวจเยี่ยมสถานที่ที่เตรียมการที่จะปลดล็อกในระยะที่ 2 ว่าได้มีแผนปฏิบัติการตามมาตรการของรัฐและ ศบค.ได้ครบถ้วนหรือไม่ หรืออาจมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อจะเป็นแบบอย่างให้สถานที่ประกอบการอื่น ได้นำมาใช้ให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

ทั้งนี้ หากไม่ให้ความร่วมมือ ไม่รักษาระยะห่าง และไม่สวมหน้ากาก รัฐบาลสั่งเปิดได้ก็สั่งปิดได้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนต้องให้ความร่วมมือกับตนและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพราะเวลาที่ทำงาน ได้ทำร่วมกันทำจึงเป็นผลงานของทุกกระทรวง รัฐบาลและพรรครัฐบาลร่วมในขณะนี้ และก็พร้อมยินดีรับฟังปัญหาอื่น ๆ ที่เสนอเข้ามาด้วย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่าวันนี้คนไทยจำเป็นต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาโควิด-19และฟื้นฟูประเทศ หลังจากสถานการณ์นี้ผ่านพ้นไปแล้วก็ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน พร้อมทั้งขอร้องอย่าเคลื่อนไหวอย่างอื่น ให้เกิดความสับสนอลหม่านวุ่นวายอีกเลย ดังนั้นประชาชนต้องตัดสินใจว่าจะสนับสนุนอย่างไรในการทำงาน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่าตนต้องการความรัก ความสามัคคีของคนทุกคน ที่เป็นคนไทยทั้งหมดและส่วนใหญ่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลไปส่วนใหญ่ ยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อการเมือง แต่ทำให้คนไทนที่เดือดร้อนจากโควิด ใครที่เดือดร้อนน้อย ใครที่ไม่เดือดร้อนขอให้ดูแลคนที่เดือดร้อนด้วย ทั้งนี้ขอขอบคุณภาคธุรกิจทุกภาคส่วนที่ให้การดูแลลูกจ้างพนักงาน ในส่วนของรัฐบาลก็พยายามดูแลให้มากที่สุด แต่ต้องจำเป็นอาศัยข้อกฎหมายหลายตัว เพราะการจะทำอะไรรัฐบาลต้องดูข้อกฎหมายเป็นหลักเสมอจำไว้ และเราไม่สามารถทำอะไรที่นอกเหนือตัวบทกฎหมายได้ วันนี้เราต้องการความรักสามัคคี เราต้องรอดด้วยกันด้วยความรักความสามัคคี เผื่อแผ่แบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน นั่นคือนิวนอร์มอลใหม่ของประเทศไทย

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในที่ประชุมศบค. ได้เตรียมความพร้อมในคลายล็อก ผ่อนปรนมาตรการในระยะที่ 2 ส่วนจะมีการต่อขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปหรือไม่นั้น นายอนุทินกล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีเวลาอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นการต่อขยายออกไปอีก 1 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม ขณะที่ หากจะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องยึดข้อมูลทางการแพทย์เป็นหลักหรือไม่

นายอนุทิน กล่าวว่าต้องดูข้อมูลทั้งหมด ทั้งการควบคุมการระบาด และความพร้อมของประชาชน และต่อเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่การเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่รับประทานอาหารร่วมกันถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้โอกาสการติดเชื้อลดน้อยลง เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนในการรักษา โดยขณะนี้เองได้มอบหมายให้หน่วยงานราชการคัดมาว่างาน ประเภทใดที่สามารถทำงานที่บ้าน หรือ work form home ได้บ้าง ขอให้งานที่รับผิดชอบอย่าเสีย และผู้บังคับบัญชาต้องไปหามาตรการมา 

อ่านเพิ่มเติม