ไม่พบผลการค้นหา
ศาล รธน.มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ชี้ ส.ส.เสียบบัตรแทนกันเป็นการกระทำไม่สุจริต ส่วนการรับโทษให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป พร้อมทั้งชี้ว่าร่างพ.ร.บ.งบฯ ไม่มีเนื้อหาขัดต่อ รธน. โดยใช้อำนาจศาลบังคับคดีให้สภาฯ ดำเนินการโหวตวาระที่ 2 - 3 ใหม่ก่อนเสนอวุฒิสภาเห็นชอบ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ไม่โมฆะ แต่ให้สภาผู้แทนราษฎรลงใหม่ในวาระที่ 2 และ 3 ให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไปและให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลภายใน 30 วัน

โดยการวินิจฉัยครั้งนี้ สืบเนื่องจากนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของส่งความเห็นของ ส.ส. กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สุมทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมบูรณ์ ชารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคหนึ่ง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คดีนี้ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับข้อความหรือเนื้อหาสาระของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้และไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาหรือทางจริยธรรมของ ส.ส.คนใด มีประเด็นเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับผิดรับโทษอย่างไรหรือไม่ ต้องไปดำเนินการตามกฏหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 

ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมากวินิจฉัยว่า การกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส.ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใดและโดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 80 วรรคสาม

โดยข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฎว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2563 เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่สอง และวาระที่สาม ปรากฎการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ทั้งที่นายฉลอง รับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ ส.ส.มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฎว่ามีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ส่วนปัญหาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 และคำวินิจฉัยที่ 3-4 2557 หรือไม่ เห็นว่าประเด็ข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดีและบทกฏหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือคดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหากระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่าการพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาฯ ในวาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการและการพิจารณาของคณะกรรมาธิการก่อนเสนอให้สภาฯ พิจารณาเรียงลำดับมาตราในวาระที่สองได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว นอกจากนี้ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้มิได้มีอยู่ในอดีต

อาศัยอำนาจดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 74 ให้สภาฯ ดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ แต่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการก่อนนำเสนอให้สภาฯ ลงมติเรียงลำดับตามมาตราในวารที่ 2 ได้เสร็จสิ้นไปก่อนมีการกระทำอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงเป็นขั้นตอนที่ชอบและมีผลสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญแล้ว จากนั้นให้เสนอร่าง พ.ร.บ.ที่แก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าวให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไปเพือ่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย

ส่วนคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ ส.ส.จำนวน 78 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2563 นั้นเห็นว่า เหตุแห่งคำร้องดังกล่าวเป็นเหตุเดียวกันกับที่วินิจฉัยในคดีนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องรับไว้พิจารณาอีก และมีคำสั่งไม่รับคำร้อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง